5G และ 6G ตอบโจทย์อะไร
คำถามหลักที่ต้องตอบมีสองเรื่อง คือ 5G คืออะไรและให้ประโยชน์เชิงธุรกิจอย่างไร และ 6G จะต่างจาก 5G อย่างไรในแง่มาตรฐานและความสามารถ หากคุณกำลังมองหาอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เสถียรต่อการใช้งานจริง
คำตอบอยู่ที่การทำความเข้าใจว่ามาตรฐานสากลกำหนดอะไรไว้บ้าง ไม่ใช่เพียงตัวเลขความเร็วบนโฆษณา แต่คือกรอบข้อกำหนดและความสามารถที่ยืนยันได้จริง
5G คืออะไรในนิยามมาตรฐานสากล
ในระดับสากล 5G ถูกนิยามภายใต้กรอบ IMT-2020 ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ซึ่งระบุสามสถานการณ์การใช้งานหลัก ได้แก่ eMBB (บรอดแบนด์มือถือเสริมความแรง), URLLC (การสื่อสารหน่วงต่ำและเชื่อถือได้สูง)
และ mMTC (การเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมหาศาล) พร้อมกำหนด “ค่าขั้นต่ำด้านสมรรถนะ” ที่เทคโนโลยีผู้ท้าชิงต้องทำได้ เช่น อัตราข้อมูลพีค ความหน่วง และความหนาแน่นการเชื่อมต่อ เพื่อให้ผ่านการประเมินเป็น 5G อย่างเป็นทางการภายใต้มาตรฐานนี้
การพัฒนาเชิงเทคนิคของ 5G อยู่ภายใต้มาตรฐาน 3GPP โดยจุดเปลี่ยนสำคัญคือ Release 15 ที่เปิดทางให้ “5G แบบสแตนด์อโลน”
และโครงข่ายแกนกลางรุ่นใหม่ ตามด้วย Release 16 ที่ทำให้งานส่งมอบต่อ ITU เพื่อปิดจบคุณสมบัติ 5G ชุดแรกเสร็จสมบูรณ์ นี่คือเหตุผลที่ 5G เชิงพาณิชย์เริ่มนิ่งขึ้นทั้งระบบเรดิโอและคอร์
อีกประเด็นสำคัญคือย่านความถี่ 5G ซึ่งแบ่งเป็น FR1 (ย่านต่ำถึงกลาง “sub-7 GHz”) และ FR2 หรือ mmWave (ย่านสูงกว่า ~24 GHz) การเลือกย่านส่งผลต่อประสบการณ์ใช้งานโดยตรง: FR1 ให้การครอบคลุมไกลและทะลุทะลวงอาคารดีกว่า
ขณะที่ FR2 ให้แบนด์วิดท์ต่อเนื่องขนาดใหญ่เหมาะกับความเร็วและความจุสูงในพื้นที่หนาแน่น
6G คืออะไรในกรอบ IMT-2030
ปลายปี 2023 ITU ประกาศ Recommendation ITU-R M.2160 หรือกรอบ IMT-2030 ซึ่งเป็นแผนแม่บทของ 6G ระบุความสามารถหลัก15 ด้านและทิศทางการใช้งาน เช่น การสื่อสารเชิงดื่มด่ำ, ความน่าเชื่อถือสูงหน่วงต่ำสำหรับอุตสาหกรรมอัจฉริยะ, การเชื่อมต่ออย่างทั่วถึงเพื่อลดช่องว่างดิจิทัล, การสื่อสารควบคู่ AI และ “การรับรู้เชิงประสาทสัมผัสหลายมิติ” ที่ผสานการสื่อสารกับการระบุตำแหน่ง/ตรวจวัตถุอย่างแม่นยำ ทั้งหมดนี้เป็นกรอบที่ผ่านฉันทามติระหว่างประเทศแล้ว ไม่ใช่การคาดเดา
ในเชิงไทม์ไลน์ ITU ระบุว่าผู้มีส่วนร่วมจะยื่นข้อเสนอเทคโนโลยีเรดิโอสำหรับ 6G เข้าประเมินได้ตั้งแต่ต้นปี 2027 โดยเป้าหมายคือให้ชุดมาตรฐาน 6G ฉบับสมบูรณ์ได้รับรองภายในปี 2030 ดังนั้น “6G ยังไม่ใช่บริการเชิงพาณิชย์วันนี้” แต่ขั้นตอนกำลังเดินหน้าอย่างเป็นทางการ
เสาหลักของ 5G เทียบกับวิสัยทัศน์ 6G
ในทางปฏิบัติ 5G ภายใต้ IMT-2020 ถูกออกแบบมาเพื่อเร่งบรอดแบนด์บนมือถือให้สูงขึ้นมาก ลดความหน่วง และรองรับอุปกรณ์ IoT จำนวนมากในเครือข่ายเดียวกัน จุดแข็งคือความสมดุลระหว่างความเร็ว ความหน่วงต่ำ และความครอบคลุมเมื่อใช้งานย่าน FR1 ขณะที่ย่าน FR2 เปิดช่องให้บริการความหนาแน่นสูงในฮอตสปอตเมืองหรือพื้นที่กิจกรรมขนาดใหญ่
6G ตามกรอบ IMT-2030 ไม่ได้เพียงทำให้เร็วกว่า แต่เพิ่มมิติใหม่ของความสามารถ เช่น การผนวกการสื่อสารกับการรับรู้สภาพแวดล้อม (integrated sensing), การออกแบบให้รองรับความยั่งยืนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในระดับโครงข่าย จุดต่างเชิงหลักการจึงอยู่ที่ การขยายบทบาทของเครือข่าย จากท่อลำเลียงข้อมูล ไปเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่รับรู้บริบทและบริหารทรัพยากรอย่างชาญฉลาดตั้งแต่ต้นทาง
ต่างจากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับผู้ใช้ทั่วไปอย่างไร
ในชีวิตจริง ความเร็วที่คุณสัมผัสได้จาก 5G ขึ้นกับทั้งสเปกอุปกรณ์ การออกแบบเครือข่าย และย่านความถี่ที่ผู้ให้บริการใช้งาน หากพื้นที่ของคุณใช้ FR1 กลาง (เช่น 3.5 GHz) คุณมักได้สมดุลที่ดีของความเร็วและความครอบคลุม ส่วนสถานที่อย่างสเตเดียมหรือฮอลล์จัดงาน อาจพบฮอตสปอต mmWave เพื่อรองรับทราฟฟิกหนาแน่นระยะสั้น เพราะแบนด์วิดท์ต่อเนื่องของ FR2 มากกว่า FR1 หลายเท่าโดยธรรมชาติของสเปกตรัม
สำหรับ 6G เมื่อถึงช่วงที่มาตรฐานเสร็จสิ้นและเริ่มใช้งานจริง คำว่า “อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง” จะไม่วัดแค่ Mbps/Gbps แต่รวมถึงความหน่วงระดับเสี้ยวมิลลิวินาที ความแม่นยำของการระบุตำแหน่ง และความสามารถในการเชื่อมต่ออย่างทั่วถึงในภูมิภาคชนบท ซึ่งทั้งหมดถูกวางเป้าหมายไว้ใน IMT-2030 แล้วตั้งแต่วันนี้
ในภาคการลงทุนควรรอ 6G หรือ ใช้ 5G ตอนนี้
ถ้ามองในกรอบเวลาธุรกิจ การตัดสินใจวันนี้ควรยึด 5G เป็นหลัก เพราะกรอบมาตรฐานและอีโคซิสเทมของอุปกรณ์/โครงข่ายพร้อมใช้งานและพัฒนาต่อเนื่องผ่าน 3GPP Releases ต่าง ๆ ขณะที่ 6G ยังอยู่ในช่วงกรอบ IMT-2030 และการยื่นข้อเสนอเทคโนโลยีซึ่งมีเป้าหมายเสร็จสิ้นภายในปลายทศวรรษนี้ ดังนั้นการเริ่มโครงการที่ต้องการความหน่วงต่ำ ความน่าเชื่อถือสูง หรือ IoT ปริมาณมาก สามารถอาศัย 5G ได้ทันที แล้วค่อยวางเส้นทางอัปเกรดเมื่อมาตรฐาน 6G ถูกประกาศครบถ้วน
แก่นแท้ของ 5G และ 6G
5G คือมาตรฐานที่ถูกประเมินและยืนยันแล้วภายใต้ IMT-2020 โดยใช้สามสถานการณ์หลัก eMBB , URLLC และ mMTC เพื่อยกระดับประสบการณ์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนมือถือและการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ขับเคลื่อนด้วยสเปกตรัม FR1/FR2 และวิวัฒนาการของ 3GPP ที่ลงหลักปักฐานสู่การใช้งานจริงทั่วโลก ส่วน 6G คือ “เฟสถัดไป” ที่ ITU วางโครง IMT-2030 ไว้อย่างชัดเจน ทั้งด้านความสามารถและไทม์ไลน์การพัฒนามาตรฐาน เป้าหมายไม่ใช่เพียงความเร็ว แต่คือเครือข่ายที่ชาญฉลาด รับรู้สภาพแวดล้อม เชื่อถือได้ และครอบคลุมผู้ใช้งานทุกพื้นที่มากกว่าเดิม










