IDA Project
SIEMENS WinCC
Smart Mobility

ซัพพลายเชน ‘Smart Mobility’ โอกาสใหม่อุตสาหกรรมไทยในยุคยานยนต์แห่งอนาคต

Date Post
19.09.2025
Post Views

ข้อมูลจาก Fortune Business Insight แสดงให้เห็นว่าตลาด Smart Mobility ระดับสากลนั้นมีมูลค่าสูงถึง 43,460 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และคาดว่ามูลค่าจะเติบโตสูงถึง 194,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในปี 2032 คิดเป็น CAGR 20.8% เป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการผสานซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์เข้ากับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่ รวมถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลเข้าด้วยกัน องค์ประกอบเหล่านี้เป็นความเชี่ยวชาญที่มีอยู่แล้วของภาคการผลิตไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในบทบาทของอดีตดีทรอยต์แห่งเอเชีย หรือดาวรุ่งพุ่งแรงด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน ทำให้ตลาดของ Smart Mobility นั้นเรียกได้ว่าเป็นการผสานเอาจุดเด่นของอุตสาหกรรมไทยในอดีตและปัจจุบัน เพื่อปูทางสู่การเป็นผู้นำด้านการขับขี่อัจฉริยะในอนาคตที่สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กันได้

Smart Mobility อนาคตที่ดีในการขับขี่ที่เป็นมากกว่ายานยนต์อัจฉริยะ
จากคำนิยามของบทความวิจัย ‘Smart Mobility in Urban Areas: A Bibliometric Review and Research Agenda’ โดย  Douglas Mitieka, Rose Luke, Hossana Twinomurinzi และ Joash Mageto ได้ให้นิยาม Smart Mobility เอาไว้ว่า “Smart Mobility เป็นแนวคิดที่ตั้งเป้าใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนในการขนส่ง ในขณะที่เพิ่มความคล่องตัวให้กับทุกภาคส่วน โดย Smart Mobility ได้ผสานรวมรูปแบบการขนส่งอันหลากหลายเข้าด้วยกัน และใช้ข้อมูลแบบ Real-Time เพื่อสร้างโซลูชั่นการขนส่งที่เหมาะกับแต่ละคน แต่ละองค์กร และแต่ละเมือง” ทำให้ Smart Mobility นั้นเป็นมากกว่าแค่ยานยนต์อัจฉริยะ แต่หมายรวมถึงระบบนิเวศการจราจร การเดินทางต่าง ๆ ที่ครบมิติ และยังเป็นส่วนหนึ่งของเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อีกด้วย 

ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากใครที่ติดตามข่าวอย่างต่อเนื่องมักจะต้องเห็นข่าวสถานการณ์ยานยนต์ไทยที่ไม่ค่อยสู่ดีนักอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุสำคัญนั้นมาจากการมาถึงของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EV จากค่ายจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงเกิดผลกระทบต่อซัพพลายเชนอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมในประเทศที่เป็นเครื่องยนต์สันดาป ทั้งการจับจองซื้อขายในประเทศและการส่งออก

การผลิตอัจฉริยะในอุตสาหกรรมยานยนต์

ข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่าสถิติการผลิตรถยนต์ทุกประเภทระหว่างเดือน ม.ค. – ก.ค. 2568 มีจำนวน 835,331 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน 5.73% โดยการผลิตรถบรรทุกที่มีน้ำหนัก 5 – 10 ตัน มีสัดส่วนลดลงมาเยอะที่สุดที่ 58.13% มียอดผลิตที่ 5,114 คัน ในขณะที่สถิติการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปอยู่ที่ 531,796 คัน ลดลงมาจากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า 11.74% และมูลค่ารวมการส่งออกกลุ่มรถยนต์อยู่ที่ 513,390.07 ล้านบาท ลดลงมาจากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้าอยู่ที่ 9.48% ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระบุดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำหรับยานยนต์ -7.66%, ดัชนีการขนส่งสินค้า -11.68% และดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง -8.95%

ข้อมูลเหล่านี้เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยนั้นอยู่ในสภาวะถดถอยและน่าเป็นห่วงอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณาแยกมาเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าทั้งเต็มรูปแบบและ Hybrid จะพบว่ามีการเติบโตอยู่ แม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่ากลุ่มสันดาปจำนวนมาก ในขณะที่ชิ้นส่วนของ EV เองก็ยังไม่อาจหาได้จากในประเทศทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของแบตเตอรี่ที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนยานยนต์สมัยใหม่ 

แม้ส่วนของเครื่องยนต์หรือระบบส่งกำลัง เช่น เกียร์ จะถูกลดทอนหรือหายไปในตลาด EV แต่ชิ้นส่วนอื่น ๆ ของยานยนต์เดิมก็ยังคงเป็นส่วนจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนช่วงล่างอย่างลูกหมาก โช๊ค หรือยาง ไปจนถึงอุปกรณ์ภายในอย่างเบาะ เข็มขัดนิรภัยต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของคุณภาพให้เหมาะสมกับยานยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มเติมเทคโนโลยีจากฝั่งของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างเซ็นเซอร์เข้าไป เพื่อทำให้มีความอัจฉริยะมากขึ้น เรียกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นอีกครั้งกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก็ไม่ผิดนัก

เส้นทางของ ‘OEM-ODM-OBM’ ลมใต้ปีกอันแข็งแกร่งของยานยนต์ไทย

หนึ่งในโอกาสสำคัญที่ยังคงเป็นความแข็งแกร่งสำคัญของอุตสาหกรรมไทย คือ การเลือกที่จะเป็นฐานการประกอบให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น แบรนด์ยุโรป แบรนด์เอเชีย และล่าสุดแบรนด์จีน ซึ่งหากมองไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่ามาเลเซียหรือเวียดนามแล้วอาจเห็นได้ว่าแนวคิด ‘รถยนต์แห่งชาติ’ อาจเป็นความเสี่ยงมากกว่าสถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นได้ ซึ่งการเกิดขึ้นของฐานการประกอบนี้ยังทำให้เกิดซัพพลายเชนชิ้นส่วน OEM (Original Equipment Manufacturer) ตามมาอีกด้วย

ยานยนต์อัตโนมัติ

แม้ว่าการมาถึงของ EV จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดการประกอบยานยนต์และการส่งออกยานยนต์ใหม่ ๆ แต่อีกตลาดหนึ่งที่จะยังคงความเข้มแข็งและยังเต็มไปด้วยโอกาส คือ ตลาด OEM ชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริม (After Market) สำหรับยานยนต์สันดาป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลออกนโยบายภาษี 45% สำหรับรถโบราณที่สนับสนุนการนำเข้ารถเก่ามูลค่าสูงในประเทศ รวมถึงการที่ยานยนต์ส่วนใหญ่ในประเทศและในภูมิภาคยังคงใช้งานยานยนต์สันดาปเป็นหลัก ทำให้ซัพพลายเชนยานยนต์ในไทยยังคงมีโอกาสในการแข่งขัน แต่โอกาสนี้อาจจะไม่นานนักหากชิ้นส่วนเหล่านี้ยังหาจุดเด่นหรือคุณค่าในตลาดชิ้นส่วนทดแทนไม่เจอ

ในแง่มุมของตลาดชิ้นส่วนทดแทนและอุปกรณ์เสริม การเป็น OEM อาจจะยังไม่เพียงพอต่อความยั่งยืนที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถต่อยอดสู่การเป็น ODM (Original Design Manufacturer) ที่รับออกแบบด้วยผลิตด้วย หรือต่อยอดสู่ OBM (Original Brand Manufacturer) ที่มีการสร้างแบรนด์ของตัวเอง ออกแบบเอง ผลิตเองอย่างแบรนด์ตองสาม (333) โดยโชว์จุ่งลูกหมากที่มีทั้ง ซีเจแมนูแฟคเจอริ่ง ในการผลิตเอง มีทั้งการขายชิ้นส่วนผ่านตัวแทน และศูนย์บริการของตัวเอง หรือ เม้งเฮดเดอร์ (TRR AUTOPART) ที่เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายท่อไอเสียที่ได้รับการยอมรับจากวงการยานยนต์ทั้งในและภายนอกประเทศ

กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทย คือ ไต้หวัน ที่เรียกได้ว่ามีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยหลากหลายประการ โดยคุณภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี คณะกรรมการและรักษาการผู้อำนวยการ สถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) ได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ไว้ได้อย่างน่าสนใจ “โมเดลของไต้หวันเป็นอะไรที่น่าศึกษามากครับ เขาเองก็ไม่ได้มีวัตถุดิบในการผลิตมากมายนัก เหมือนกรณี TSMC เขาก็ไม่ได้มีวัตถุดิบหลักเอง เขาอาจจะไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าจะต้องไปผลิตอะไรที่ Mass แต่ว่าเขาต้องเป็นเบอร์หนึ่งในแต่ละด้านที่มีความสำคัญ หากมองกลับมาที่ยานยนต์ เขาไม่ได้มองว่าเขาจะเป็นผู้ผลิตยานยนต์ แต่เขาบอกว่า ‘เขาจะเป็นผู้ผลิตอะไหล่โลก’ เพราะคุณเปลี่ยนรถเมื่อไร คุณรถชนอะไร เมื่อไร คุณจะใช้อะไหล่หมดนะ ซึ่งผู้ผลิตไทยควรจะมองอย่างนั้นด้วยนะ เราไม่ใช่ Detroit of Asia เราควรจะเป็นอะไหล่โลก ไต้หวันเองก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เขาเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เป็นส่วนประกอบหนึ่งแต่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และเขายังล้ำหน้าไปไกล จนหาคนที่จะตามทันได้ยากอีกด้วย” 

คำถามสำคัญ คือ ในวันนี้ซัพพลายเชนและผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยมองเห็นโอกาสมากแค่ไหน? อุตสาหกรรมการผลิตไทยยังคงมองอยู่แค่ตัวยานยนต์หรือเปล่า หรือจริง ๆ แล้วมันมีโอกาสที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมถึงกันอยู่มากมายในโลกยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง ถ้าประเทศไทยอยากจะเป็นผู้นำในด้าน Smart Mobility หรือจะมีส่วนแบ่งในตลาดแห่งอนาคตนี้จะทำอย่างไร?

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI เคยระบุเอาไว้ว่า ประเทศไทยนั้นติด 1 ใน 5 ฐานการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของโลก และที่ผ่านมาประเทศไทยมีแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ทำการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มาลงทุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Western Digital, Sony, Nikon หรือ Canon เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญมาอย่างช้านาน ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็ยังมีผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความโดดเด่นในระดับสากล อาทิ ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส และ เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ ที่ถึงแม้ว่าจะมีสัดส่วนผู้เล่นในตลาดน้อยกว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ก็เรียกได้ว่ามีมูลค่ามหาศาลและมีซัพพลายเชนที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา

การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

ข้อมูลด้านการลงทุนจากคุณนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยในงาน THECA 2025 ว่า “ตั้งแต่ปี 2565 – มิถุนายน 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น การออกแบบชิป การประกอบชิป การทดสอบเวเฟอร์และแผ่นวงจรรวม การผลิต PCB ไปจนถึงการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวม 517 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 7 แสนล้านบาท โดยมีนักลงทุนหลักจากเยอรมัน สหรัฐอเมริกา จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฮ่องกง โดยเป็นการลงทุนอุตสาหกรรม PCB 180 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ไทยครองตำแหน่งผู้ผลิต PCB อันดับ 1 ของอาเซียน” ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมนำเสนอข้อมูลการเติบโตที่เป็นไปในทางเดียวกัน โดยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์เดือนกรกฎาคม 2568 ชี้ให้เห็นว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมนี้อยู่ที่ 8.43, ดัชนีการส่งสินค้า 7.23 และดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ -14.24 เรียกได้ว่าเป็นผลบวกในภาพรวมที่เกิดขึ้น โดยมีการผลิตและจัดจำหน่าย PCBA เพิ่มซึ่งเกี่ยวข้องกับ AI และการเติบโตของระบบอัตโนมัติ และ Data Center ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เอง แม้มีจำนวนผู้ลงทุนไม่มาก แต่มีมูลค่ามหาศาล และประเทศไทยเองเริ่มมีการขยับตัวของผู้เล่นรายสำคัญต่าง ๆ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ การผลิตเซมิคอนดักเตอร์เพื่อต่อยอดศักยภาพด้านการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจึงเป็นโอกาสใหม่ที่มีความโดดเด่นชัดเจน โดย ดร.วุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) ได้เล่าถึงโอกาสใหม่นี้เอาไว้อย่างชัดเจน “มูลค่าของตลาดเซมิคอนดักเตอร์จาก 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา จะกระโดดไปอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในช่วงเวลา 3-5 ปีข้างหน้า โดยมี Physical AI เป็นปัจจัยหลัก คาดการณ์กันว่าในปี 2050 อาจเติบโตถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และจะโตอีกมาก แน่นอนว่าซัพพลายไม่พอ ใครที่เข้ามาในตอนนี้ก็จะกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอนาคต เราจะไม่มาถามแล้วว่าอุตสาหกรรมนี้เก่าเกินไปในการเข้ามาหรือเปล่า เพราะยังเติบโตได้อีกเยอะ”

หากเอ่ยถึง Smart Mobility แล้วภาพในหัวของคนส่วนใหญ่อาจจะคิดถึงยานยนต์ไฟฟ้าหรือการขับขี่อัตโนมัติอย่าง Tesla แต่จริง ๆ แล้ว Smart Mobility นั้นมีขอบเขตที่กว้างไปกว่าคำว่ายานยนต์มาก เพราะ Smart Mobility นั้นครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการการจราจร ประสบการณ์การเดินทาง การขนส่งสินค้าต่าง ๆ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยที่ยานยนต์นั้นยังคงเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้น

จากข้อมูลของ Fortune Business Insight ชี้ว่าตลาด Smart Mobility นั้นมีมูลค่าสูงถึง 43,460 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และคาดการณ์ว่ามูลค่าจะเติบโตสูงถึง 194,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในปี 2032 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นอยู่ที่ 20.8% โดยปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาด Smart Mobility เติบโตนั้นมาจากประเด็นความยั่งยืน (Sustainability) ที่ครอบคลุมทั้งด้านพลังงานและความปลอดภัย โดย Smart Mobility ยังเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อีกด้วย

เมืองอัจฉริยะ
7 จุดเด่นการใช้งาน Smart Mobility ในโลกยุคใหม่และเมืองอัจฉริยะ
– ระบบติดตามข้อมูลแบบ Real-Time
– การซ่อมบำรุงเชิงคาดการณ์
– ระบบบริหารจัดการที่จอดรถอัตโนมัติ
– การบริหารจัดการการจราจรอัจฉริยะ
– ระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ
– การบูรณาการระบบจ่ายค่าปรับ
– การตรวจตราและรักษาความปลอดภัยถนนอัจฉริยะ

ในแง่มุมของการใช้งาน Smart Mobility สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ โดยอ้างอิงจากเอกสาร ‘Enabling Technologies for Urban Smart Mobility: Recent Trends, Opportunities and Challenges’ ได้แก่

  1. ภาคประชาชน
    • เพิ่มประสิทธิภาพการจราจร เช่น ประหยัดเชื้อเพลิง
    • สร้างทางเลือกในการใช้เส้นทาง เช่น มีตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลายยิ่งขึ้น เดินทางได้เร็วขึ้น และลดเวลาที่ใช้เดินทาง
    • สร้างความคุ้มค่าด้านต้นทุน เช่น ทำให้การเดินทางเกิดความคุ้มค่า และสามารถเปรียบเทียบค่าเดินทางได้
  2. ภาครัฐหรือผู้บริหารจัดการ
    • บริหารจัดการการจราจรได้ดีขึ้น เช่น การทำ Real-Time Monitoring การจราจร  และการตัดสินใจด้านการจราจรตามพลวัต
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนเส้นทาง เช่น การวางแผนเส้นทางโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และการวางแผนเส้นทางตามสภาพการจราจร
    • การสร้างข้อมูลในการใช้งาน เช่น การพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ

7 เทคโนโลยีสำคัญขับเคลื่อน Smart Mobility

Smart Mobility นั้นจะอยู่ในลักษณะของระบบนิเวศที่ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีมากมายที่มีพื้นฐานมาจากยานยนต์ เซ็นเซอร์ และนวัตกรรมด้านดิจิทัล เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเทคโนโลยีที่ขาดไม่ได้สำหรับการเปิดทางไปสู่การใช้งาน Smart Mobility ยุคใหม่ ได้แก่

Software-Defined Vehicles (SDVs)

SDV คือ ยานยนต์ที่พึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลในฐานะส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ โดยทุกฟังก์ชัน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่, ความบันเทิง, การสื่อสาร, ความปลอดภัย และความสะดวกสบายจะเกิดขึ้นและถูกควบคุม ตลอดจนบริหารจัดการหรือปรับแต่งต่าง ๆ ผ่านทางซอฟต์แวร์ โดย SDV จะเชื่อมต่อกับ Cloud และตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม โดยคุณสมบัติสำคัญในการพัฒนา SDV คือ การแยกซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ออกจากกัน

5G

เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 5G ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการสื่อสารของ Smart Mobility ที่เรียกว่าเกิดขึ้นแบบ Real-Time ในขณะที่ต้องรองรับการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์จำนวนมหาศาลที่เกิดการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วตลอดเวลาในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร ทำให้คุณสมบัติในการทำ Network Slicing และการปรับแต่ง Bandwidth ที่สอดคล้องกับขนาดของข้อมูล-ความเร่งด่วนเป็นเงื่อนไขสำคัญ รวมถึงการส่งข้อมูลระหว่าง Node ที่ไร้สะดุด 5G จึงเป็นเทคโนโลยีที่สามารถบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายได้เหมาะสมกับ Smart Mobility มากที่สุด

AI/Physical AI

หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของ Smart Mobility คือ การตอบสนองต่อสถานการณ์แบบ Real-Time เพื่อให้เกิดความปลอดภัย AI และ Deep Learning จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการตอบสนองต่อข้อมูลที่เกิดขึ้นในระดับเสี้ยววินาที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Physical AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ AI สามารถตอบสนองต่อโลกกายภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับมือกับข้อมูลระดับ Big Data ที่มนุษย์ไม่อาจตอบสนองได้ทั้งหมดในเวลาอันจำกัด

Advanced Driver Assistance Systems (ADAS)

ADAS นั้นเป็นระบบสนับสนุนการขับขี่ที่ให้ข้อมูลต่าง ๆ การแจ้งเตือน และการเข้ามาแทรกแซงการควบคุมเมื่อจำเป็น เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการใช้งานยานพาหนะยุคใหม่

Cloud & EDGE Computing

การประมวลผลผ่าน Cloud และ EDGE เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญร่วมกับเทคโนโลยี 5G ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลของ Smart Mobility ในระดับของการจราจร และการใช้งานยานยนต์อัจฉริยะ ทำให้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบประมวลผล On-Board ที่ติดตั้งไว้บนยานพาหนะอย่างเดียว

Cybersecurity

การมาถึงของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั้งระบบนิเวศ ไม่ว่าจะโครงสร้างพื้นฐาน ระบบเครือข่าย และตัวยานยนต์อัจฉริยะ เทคโนโลยีและมาตรการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่ได้อยู่ในโลกไซเบอร์อีกต่อไป แต่ภัยที่เกิดขึ้นนั้นอาจหมายถึงความร้ายแรงถึงชีวิตที่อาจเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา ความปลอดภัยบนท้องถนนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของกายภาพอีกต่อไป

VANET (Vehicular Ad-Hoc Network)

VANET เป็นโครงข่ายแบบ Ad-Hoc แบบเคลื่อนที่ (ส่วนหนึ่งของ MANET) โดย VANET เป็นการติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างยานพาหนะ หรือการสื่อสารระหว่างยานพาหนะกับอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่กับถนน เกิดเป็นการสื่อสารระยะสั้นระหว่างอุปกรณ์ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว

Smart Mobility

จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่หากมองย้อนไป 20 ปีที่แล้วอาจจะยังไม่เกี่ยวข้องกับการเดินทางใด ๆ ด้วยซ้ำ อาจไม่ได้เป็นเทคโนโลยีสำหรับการเดินทางหรือการขับขี่สักเท่าไร แต่โลกยุคปัจจุบันเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีเชิงกลต่าง ๆ สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากการเดินทางเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างไม่เห็นฝุ่นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้แผนที่ออนไลน์หรือการใช้ GPS นำทางที่สมัยก่อนมีราคาสูงมาก ไม่สามารถเข้าถึงได้ทั่วไป ตลาดของ Smart Mobility จึงเปิดกว้างทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัลยุคใหม่

4 ส่วนประกอบหลัก Smart Mobility
– ระบบขนส่งอัจฉริยะ (ITS)
– แอปพลิเคชันด้านการขนส่งแบบ Open-Data และ Open-Source
– แอปพลิเคชันสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data และกลยุทธ์ Crowd-Sourcing 
– การมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ระดับฐานราก

สำรวจซัพพลายเชน Smart Mobility โอกาสของธุรกิจไทยอยู่ตรงไหน?

การจัดกลุ่มซัพพลายเชนของ Smart Mobility นั้นอาจมองได้หลากหลายแง่มุม สำหรับ MM Thailand ขออ้างอิงตามแนวคิดของ Neckermann บริษัทที่ปรึกษาจากอังกฤษที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเมืองอัจฉริยะและ Smart Mobility โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. กลุ่มเทคโนโลยีการขับขี่ (Electronic & Driving Technology)
    • ฮาร์ดแวร์ Onboard เช่น Lidar, กล้อง, เรดาห์, โซนาร์
    • ซอฟต์แวร์ Onboard เช่น HMI, AI, ระบบนำทาง, 3D, GPS, OS, ระบบความปลอดภัย
    • การวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Cloud, Deep Learning
    • การทดสอบ เช่น การจำลอง (Virtual) และการทดสอบในพื้นที่จริง
  2. กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ (Automotive Manufacturer)
    • ผู้ผลิตยานยนต์โดยสาร
    • ผู้ผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์
    • Autonomous Stack
    • มาตรฐานและใบประกาศ เช่น หน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ ISO
  3. กลุ่มระบบและข้อมูล (System and Data)
    • อุปกรณ์ เช่น อุปกรณ์ซ่อมบำรุง, สถานีชาร์จ, เซ็นเซอร์และกล้องสำหรับถนน
    • การบริหารจัดการข้อมูล เช่น โฟลว์การใช้งาน, การจราจรและตำแหน่ง, การจอดรถ, สภาพอากาศ
    • แผนที่ เช่น แผนที่ความละเอียดสูง และการเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางการเดินรถ
    • การบริหารจัดการเมือง
    • การเชื่อมต่อและเครือข่าย เช่น IoT
    • ความปลอดภัย เช่น ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ระบบเครือข่าย และอุปกรณ์
  4. เทคโนโลยีการบริหารจัดการกองยานพาหนะ (Fleet Management)
    • การบริหารจัดการสินทรัพย์ เช่น การเงิน การบริการลูกค้า และการเช่าซื้อ
    • ศูนย์ควบคุม เช่น การจับคู่ยานพาหนะ, ระบบเส้นทาง, การตรวจสอบสถานะยานพาหนะ
    • งานซ่อมบำรุง
  5. ผู้ให้บริการด้านการขนส่ง (Mobility Operator)
    • การบริหารจัดการผู้คน เช่น การแบ่งปันการใช้งาน (Car Sharing) เป็นสถานีหรือเป็นการขนส่งจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง, การรวมเส้นทางเดินทางไปด้วยกัน (Pooling)
    • การขนส่งสาธารณะ เช่น บริการแบบ On-Demand
    • การขนส่งสินค้า
  6. ผู้ให้บริการด้านการเคลื่อนที่คนกลาง (Mobility Aggregator)
    • Interface ในการใช้งาน เช่น Subscription, การออกตั๋ว (Ticket) หรือ การจ่ายตามการใช้งาน (Pay-as-you-go)
    • ตลาดซื้อขาย (Marketplace) เช่น API, B2B หรือ B2C

จากการจัดกลุ่มทั้ง 6 กลุ่ม จะเห็นได้ว่าประเทศไทยนั้นมีธุรกิจที่อยู่ในซัพพลายเชนของ Smart Mobility ทั้งหมด แม้ว่าในรายละเอียดปลีกย่อยอาจจะยังไม่มีบริการหรือเทคโนโลยีบางอย่างก็ตาม ในภาพรวม ณ เวลานี้อาจเรียกได้ว่าประเทศไทยมีความพร้อมด้านซัพพลายเชนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในขณะที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เองก็เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็ว และในส่วนของอุตสาหกรรมดิจิทัลก็ต้องยอมรับว่ามีบริการหรือโซลูชันใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

การเดินทางแห่งอนาคต

หนึ่งในคำถามที่หลายคนอาจจะคาใจอยู่ คือ ภาครัฐนั้นเปิดโอกาสหรือสนับสนุน Smart Mobility มากแค่ไหน? ถ้าในส่วนของภาคการผลิตนั้นมีการดึงดูดการลงทุนและมีนโยบายในการสนับสนุนเกิดขึ้นแล้ว ในส่วนของกำลังพลเองก็มีทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ออกมาถ่ายทอดความรู้ในซัพพลายเชนกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และการออกแบบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเซ็นเซอร์ยุคใหม่ที่จะต้องประกอบเข้าไปในยานยนต์และอุปกรณ์แวดล้อม

สำหรับนโยบายและกฎหมายรองรับเอง เรื่องของ Smart City และ Smart Mobility ถูกกล่าวถึงตั้งแต่ยุคของประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีพื้นที่ต้นแบบที่ตั้งใจให้เป็นเมืองอัจฉริยะในพื้นที่ของ EEC ในฐานะเมืองต้นแบบที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในขณะที่วังจันทร์วัลเลย์เป็นพื้นที่ Testbed สำหรับการใช้งานอุปกรณ์ไร้คนขับที่สามารถทดสอบใช้งานภายในพื้นที่แล้วในปัจจุบัน สำหรับนโยบายภาครัฐอาจมองได้ว่าเป็นการเปิดประตูครึ่งบานที่ยังรอการสนับสนุนอย่างจริงจังเพิ่มเติมในการขับเคลื่อนผ่านภาพของ Smart Mobility ไม่ใช่อุตสาหกรรมรายย่อยลงไปเพียงอย่างเดียว

ในภาพของเอกชนเองก็อาจเรียกได้ว่าเรามีจิ๊กซอว์เพียงพอที่จะประกอบตัวต้นแบบ หรือจะ Kick Start เริ่มต้น Smart Mobility แล้ว แต่สิ่งที่อาจจะขาดไปจริง ๆ คือ ทิศทางที่ชัดเจนในระดับประเทศที่ไม่จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากภาครัฐเสมอไป อาจเกิดจากการรวมกลุ่มของเอกชนก่อนก็ได้เช่นกัน

สำหรับธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีคำถามว่าจะสามารถเชื่อมต่อกับ Smart Mobility ได้อย่างไร อาจจะต้องชวนมาตั้งคำถามกันสักหน่อยว่าชิ้นส่วนที่คุณผลิตอยู่นั้นจะอยู่ตรงส่วนไหน ในบริบทใดของซัพพลายเชนที่เกิดขึ้น ถ้าไปอยู่ในยานยนต์อัตโนมัติแล้วผลิตเบรคจะปรับตัวอย่างไร? เปลี่ยนไปผลิตอย่างอื่นจะได้ไหม? คำตอบเรื่องนี้อาจจะเรียบง่ายกว่าที่คิด ยกตัวอย่างเช่น ถ้ายานยนต์อัจฉริยะยังมีเบรคอยู่ แล้วความต้องการเบรคยุคใหม่เป็นอย่างไร? ความทนทานเปลี่ยนไปแค่ไหน? หรือต้องมีติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อรายงานเข้าระบบต่าง ๆ หรือไม่? สิ่งที่เกิดขึ้นจึงอาจไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบโละของเก่าทิ้งทั้งหมด แต่อาจเป็นการปรับปรุงคุณภาพการผลิตหรือเปลี่ยนการออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการมากยิ่งขึ้น ไปจนถึงการร่วมมือหรือจ้างบริษัทที่ผลิตเซ็นเซอร์-อิเล็กทรอนิกส์มาเพื่อร่วมผลิตเบรคที่สอดคล้องกับความต้องการตลาดมากขึ้น อันไหนไม่เชี่ยวชาญก็สามารถเจรจาหาพันธมิตรโดยไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งหมดตั้งแต่ก้าวแรก เป็นต้น

แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะอยู่ในสภาพที่อาจไม่สู้ดีนัก แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในประเทศก็สามารถนำไปสู่การเปิดฉากยุคใหม่ได้ โดยเฉพาะ Smart Mobility ที่อาจเปลี่ยนโมเดลของประเทศที่ขายของเป็นชิ้นมาเป็นการขายโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาด้านการเดินทาง-การจราจรที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าความร่วมมือกันอันทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงยิ่งขึ้นจะเป็นโอกาสที่ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน

การประกอบชิ้นส่่วนยานยนต์

ถ้าในวันนี้องค์ประกอบต่าง ๆ พร้อมเดินหน้าแล้ว และความชัดเจนของตลาดในอนาคตที่ถูกขับเคลื่อนด้วยแนวคิดด้านความยั่งยืนมีความชัดเจนอย่างยิ่ง การปรับเปลี่ยนตัวของธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ไทยควรจะเริ่มเมื่อไร? ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทยจะเข้ามามีส่วนร่วมตรงไหนอย่างไรได้บ้าง? และความร่วมมือกันข้ามอุตสาหกรรมจะเริ่มกับใครดี? สิ่งเหล่านี้คงเป็นคำถามที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทั้ง 3 กลับมามองย้อนดูธุรกิจตัวเองในวันนี้และลองมองไปในวันข้างหน้าอีกสัก 3 ปีว่าธุรกิจของคุณจะอยู่ตรงไหนของการแข่งขัน และอยู่ในสภาพที่เป็นอย่างไร…

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire
ลงทะเบียนร่วมงาน Automation Expo