รองนายกรัฐมนตรีควบตำแหน่ง รมว.คลัง เดินหน้านโยบาย Quick Big Win 5 เสาหลัก แก้หนี้-คอขวดลงทุน-กระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยไม่ให้ลงเหว GDP ไตรมาส 4 จะโตกว่า 0.3% ตั้งเป้าดึงเครดิตไทยดีขึ้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การพิจารณาอนุมัติโครงการ ‘คนละครึ่ง’ จะเข้าสู่การพิจารณาคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า โดยจะใช้ได้ทันในเดือนตุลาคมแน่นอน และชี้แจงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ต่อรัฐสภาว่า 4 เดือนนี้จะเร่งดำเนินการ ภายใต้วางแผนนโยบายเพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางเศรษฐกินไทยที่เปรียบเสมือนรถยนต์ที่กำลังวิ่งลงเหว หรือกำลังใกล้จะติดหล่มหากไม่มีการดำเนินการใด ๆ สถานการณ์อาจ ดิ่งเหว จึงเดินหน้านโยบาย Quick Big Win กู้เศรษฐกิจ 5 เสาหลัก เดินหน้าเครื่องยนต์ 4 ลูกสูบ เพื่อทำให้กำหนดเป้าหมาย เศรษฐกิจไตรมาส 4/68 ขยายตัวมากกว่า 0.3% ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยจะลดต่ำกว่า 87.4% ต่อจีดีพี
“นโยบายเศรษฐกิจ ‘กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว’ เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกระจายประโยชน์ไปยังทุกพื้นที่ ดูแลผู้ประกอบการรายย่อย ปากท้องประชาชน เรียกว่า ‘Quick Big Win’ ซึ่งต้องทำ ‘สั้น’ (Quick) ‘ใหญ่’ (Big) พอที่จะดันเศรษฐกิจ และให้ประชาชนได้รับ ‘ประโยชน์’ (Win) 5 เสาหลักจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีฐานรากที่เข้มแข็ง คือ การรักษาเสถียรภาพการคลัง จะเน้นจัดทำกรอบวินัยทางการคลังระยะปานกลางในเดือนพฤศจิกายน, โปร่งใส โดยจะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น, และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความมั่นใจต่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agency)” นายเอกนิติ กล่าว
สำหรับการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 5 เสาหลัก ได้แก่
- กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว คนละครึ่งพลัส นโยบายนี้ใช้หลักการกระตุ้นสั้น ได้ยาว และกระจายตัว เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งในสัปดาห์หน้าหน้าจะเสนอครม. ให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ 200 บาท/วัน จากเดิมวันละ 150 บาท ใช้ทันต.ค.นี้แน่นอน บาท และโครงการนี้จะเน้นให้ความช่วยเหลือแก่พ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก รายย่อย หาบเร่ แผงลอย และแท็กซี่ เพื่อให้เกิดการกระจายตัว
นอกจากนี้ ในคำว่า พลัส เพื่อผลยาว โดยผู้เสียภาษีที่อยู่ในระบบจะได้รับเงิน 2,400 บาท เพื่อจูงใจให้ประชาชนเข้าระบบภาษี หวังว่าระยะต่อไป ประชาชนจะเข้าระบบมากขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีการเพิ่มทักษะ (Skill) ให้แก่พ่อค้าแม่ค้าในการขายของออนไลน์ (E-commerce) รวมถึงการทำบัญชีดิจิทัล ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการพิจารณาปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร
ทั้งนี้ ในการเดินหน้าโครงการดังกล่าว รัฐบาลให้ความสำคัญกับวินัยการคลัง ซึ่งไม่ได้มีการใช้เม็ดเงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลชุดที่แล้ว งบกระตุ้น 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 44,000 ล้านบาท โดยไม่ได้มีการกู้เพิ่ม ขณะที่ในภาคการท่องเที่ยว จะกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการพัฒนาปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง ซึ่งนโยบายนี้สูญเสียรายได้ภาษีเพียง 300 ล้านบาท - การแก้ไขหนี้ภาคประชาชน แก้หนี้ NPL จะนำเงินในกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งมาจากธนาคารพาณิชย์ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน โดยมีวงเงินเหลือประมาณ 26,000 ล้านบาท มาตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อซื้อหนี้ NPL มาปรับโครงสร้าง จะเป็นการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย และลดภาระการผ่อนต่อเดือนลง เพื่อให้ประชาชนมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และจะมีสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ผ่านอารีย์สกอร์ ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ไม่ต้องพึ่งพานอกระบบ
- การดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสภาพคล่อง จะใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ โดยเตรียมวงเงินไว้ขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท และมีห่วงโซ่อุปทาน Supply Chain Financing ส่งเสริมโครงการ ‘พี่ช่วยน้อง’ โดยให้รายใหญ่ช่วยรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน และสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้ ธนาคารจะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอี ที่มีกำหนดได้รับเงินจากโครงการภาครัฐ ซึ่งลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ ,และ เร่งรัดการคืนภาษีของกรมสรรพากรทันที ซึ่งมีเม็ดเงินอยู่ในมือถึง 160,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและเอสเอ็มอี อย่างรวดเร็ว
- เพิ่มการออมภาคประชาชน จะมีการสลากออมทรัพย์ เป็นคนละส่วนกับหวยเกษียณ ส่งเสริมการออมโดยเชื่อมโยงกับการซื้อสลาก ทางบัญชีทางออนไลน์ โดยแบ่งสัดส่วนเงินส่วนหนึ่งเป็นเงินออมที่ต้องถือไว้ 5 ปี หรือจนถึงอายุ 55 ปี ซึ่งจะใช้เงินจากค่าการตลาดของสำนักงานสลากฯมาดำเนินการ และ จะสนับสนุนให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลได้ทุกเดือน เพื่อให้ประชาชนได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินทั่วไป โดยปัจจุบันพันธบัตร 10 ปี มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 1.4%
- เพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี เพิ่มทักษะ (Skill) และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ (เกษตรชีวภาพ, Smart Farming, ดิจิทัล, AI, Data Center, รถยนต์ EV และได้จับมือกับสถาบันการศึกษา เช่น สถาบันเทคนิคไทย-เยอรมัน เพื่อฝึกอบรมแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดย BOI มีเงินสำหรับเพิ่มขีดความสามารถอยู่ 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้จะปลดล็อกเงินลงทุนผ่าน BOI ด้วย ‘Fast Pass’ เร่งรัดการอนุมัติโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้วปี66-67 แต่ยังไม่ได้เริ่มลงทุนจริงมูลค่าสูงถึง 470,000 ล้านบาท ระบบนี้ก็เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องอนุมัติภายในเวลาที่กำหนด เพื่อดึงเม็ดเงินเหล่านี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายใน 4 เดือน โดยไม่ต้องใช้เงินใหม่
สำหรับรถยนต์เศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย เครื่องยนต์ 4 ลูกสูบ ได้แก่ การส่งออก (ลูกสูบที่ 1) ,การบริโภคภาคเอกชน,การลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเครื่องยนต์นี้ ‘เตรียมดับ’ เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานทั่วประเทศยังไม่ถึง 60% ,เครื่องยนต์การใช้จ่ายรัฐบาล จะเร่งช่วยผลักดันเศรษฐกิจ แม้ว่าน้ำหนักตัวจะเล็ก แต่ก็เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยให้เศรษฐกิจพ้นจากหล่มได้
ที่มาข่าว:
สำนักข่าวไทย










