ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับการคาดหวังว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดแบตเตอรี่ EV ทั่วโลกนั้นมีมูลค่ารวม 92,720 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตในอัตรา 25% ต่อปี จนมีมูลค่าสูงถึง 739,310 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 2034
แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 การติดตั้งแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 37% จากปีก่อน แต่เบื้องหลังตัวเลขการเติบโตนี้ กลับซ่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่กำลังสั่นคลอนผู้ผลิตทั้งในประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา
ในปัจจุบันนี้ บริษัทที่เป็นตัวตึงในวงการยังคงเป็น CATL ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดที่ 37.9% และตามมาด้วย BYD ที่ 17.8% อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้เล่นรายใหญ่ที่แข็งแกร่ง แต่ตลาดโดยรวมกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่ทำให้อุตสาหกรรมต้องปรับตัวอย่างหนัก
วิกฤตการณ์ในโรงงานแบตเตอรี่ กับการแข่งขันที่รุนแรงและการผลิตส่วนเกิน
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่า การแข่งขันราคาของ EV ซึ่งนำไปสู่การเกิดสภาวะที่นักวิเคราะห์เรียกว่า สภาวะ Involution หรือการแข่งขันที่รุนแรงเกินกว่าเหตุและไร้กฎเกณฑ์
ในประเทศจีนซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดและเป็นเหมือนโรงงานแบตเตอรี่ของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาการผลิตส่วนเกินอย่างรุนแรง โดยพบว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานแบตเตอรี่ในจีนนั้นต่ำกว่า 50% และกำลังการผลิตรวมของประเทศสูงกว่าความต้องการของโลกถึง 60%
สภาวะการแข่งขันที่รุนแรงนี้ได้นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่าตกใจ นั่นคือ มีบริษัทแบตเตอรี่ล้มละลายไปไม่ต่ำกว่า 12 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขเฉพาะในจีนเท่านั้น
สถานการณ์ในสหรัฐอเมริกาก็แทบจะไม่แตกต่างกัน ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2025 นี้ โครงการสร้างโรงงานแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าถูกยกเลิกไปมากกว่าที่ยกเลิกในปี 2023 และ 2024 รวมกันเสียอีก มูลค่าโครงการที่ถูกยกเลิกในช่วงครึ่งแรกของปีสูงถึง 8,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วถึง 5 เท่า
ผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาและการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
รากฐานของวิกฤตมาจากสงครามราคาในตลาด EV ในปี 2025 ประเทศจีนมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 100 แบรนด์ แม้ว่าจะลดลงจากเกือบ 500 แบรนด์ในปี 2024 ก็ตาม แต่ละแบรนด์ต่างแข่งขันกันลดราคาสินค้าอย่างบ้าคลั่ง มีรายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากำลังขาดทุนเฉลี่ย 11,500 ดอลลาร์ต่อคันที่ขายออกไป เนื่องจากบางแบรนด์ได้มีการปรับลดราคาสินค้าลงมากกว่า 20%
แรงกดดันด้านราคาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังลามไปยังผู้ผลิตวัตถุดิบด้วย ราคาลิเธียมคาร์บอเนต ซึ่งเคยพุ่งสูงถึง 70,000 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน ได้ร่วงลงมาต่ำกว่า 15,000 ดอลลาร์ในปี 2024 และลดลงต่อเนื่องจนเหลือต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์ต่อเมตริกตันในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี
การร่วงลงของราคาลิเธียมส่งผลให้บริษัทขุดลิเธียมยักษ์ใหญ่ของจีน เช่น Ganfeng Lithium และ Tianqi Lithium ขาดทุนสุทธิหลายพันล้านหยวนในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2024
นอกจากสงครามราคาแล้ว การเปลี่ยนแปลงนโยบายในสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เข้ามาซ้ำเติม เช่น การยกเลิกมาตรการประหยัดเชื้อเพลิงของรัฐบาลกลาง และการหยุดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การเปลี่ยนนโยบายเหล่านี้จะทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสะสมลดลงถึง 14 ล้านคันในช่วงปี 2025 ถึง 2030 เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนการที่รัฐบาลเปลี่ยนกฎเกณฑ์กลางทาง ทำให้ผู้เล่นที่ได้ลงทุนไปแล้วต้องเร่งหาทางออก
Key Takeaway
แม้จะต้องเผชิญกับปัญหามากมาย แต่การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไปในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ เทคโนโลยีใหม่ที่ปรากฏขึ้นเพื่อตอบโจทย์เรื่องต้นทุนคือ แบตเตอรี่ NFP ซึ่งมีต้นทุนต่ำและความปลอดภัยสูงกว่า ขณะเดียวกัน แบตเตอรี่ Solid State ก็กำลังได้รับการลงทุนและวิจัยอย่างหนัก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในเชิงพาณิชย์ในอนาคต ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลายค่ายได้เปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ ๆ ออกมา อาทิ
- MG ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่น MG4 พร้อมแบตเตอรี่ Solid State รุ่นแรกของโลกที่ผลิตได้จริง ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความทนทานที่นานขึ้น
- Stellantis ร่วมกับ Factorial เปิดตัวแบตเตอรี่ Solid State ความหนาแน่นสูง 375 วัตต์ต่อกิโลกรัม ที่สามารถชาร์จจาก 15% ถึง 90% ได้ใน 18 นาที และยังสามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส
- BYD เปิดตัวระบบชาร์จเร็วที่สามารถเพิ่มระยะทางได้ 400 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 5 นาที
- ล่าสุด Tesla ก็ได้เปิดตัวแบตเตอรี่ใหม่ที่สามารถชาร์จได้ถึง 90% ต่อวันโดยไม่กระทบต่ออายุการใช้งาน ด้วยเทคนิคแคโทดโดปิ ที่ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์ลงอย่างมาก
Industrial Key Success
ในขณะที่ผู้ผลิตทั้งรายเก่าและรายใหม่กำลังนำเทคโนโลยีมาแก้ไขข้อจำกัดเดิม ๆ ของแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมนี้ก็ยังคงมีคำถามสำคัญที่ต้องตอบเกี่ยวกับผลกระทบต่อโลก การผลิตแบตเตอรี่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลจากการขุด ลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อชุมชนและระบบนิเวศ นอกจากนี้ยังมีคำถามสำคัญในเรื่องของการจัดการ แบตเตอรี่เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้ผลิตไม่ควรจะมองข้ามไปได้ ท้ายที่สุดแล้ว ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เรื่องของกำไรหรือความล้ำสมัยของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องสามารถตอบให้ชัดเจนได้ว่า พลังงานทางเลือกเหล่านี้เป็นผลดีต่อโลกและลูกหลานของเราในอนาคตจริง ๆ หรือไม่









