Industrial Key Success
เครื่องจักรอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่ศักยภาพสูง โดยมีมูลค่าตลาดโลกถึง 107 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) 5.71% สถิติยังเผยให้เห็นความท้าทายในอุตสาหกรรมเครื่องจักรอาหารที่มีอัตราบำรุงรักษาสูง และระยะเวลาการเปลี่ยนอุปกรณ์บ่อยกว่าเครื่องจักรในอุตสาหกรรมอื่นๆ เนื่องจากปัญหาการสึกหรอจากการกัดกร่อนและการติดขัด จากสภาพแวดล้อมการผลิตที่ชื้น มองที่แนวโน้มตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงสุดในช่วงปี 2568-2573
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องจักรอาหาร
- เทคโนโลยีอัตโนมัติ มีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้น.
- ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ มีความต้องการเครื่องจักรที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงและง่ายต่อการบำรุงรักษา.
- ความต้องการเฉพาะกลุ่ม มีการพัฒนาเครื่องจักรที่ตอบสนองความต้องการของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท เช่น เบเกอรี่, เนื้อสัตว์, หรือผักผลไม้
การพัฒนาโซลูชั่นครบวงจร
กลับมามองในประเทศไทย ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมเครื่งจักรอาหาร ผ่านแนวคิดนักอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ไฟแรง สะท้อนการเติบโตธุรกิจ คุณณัฐ ใบโพธิ์วงศ์ ผู้บริหารบริษัทอุตสาหกรรมเครื่องจักรอาหาร อย่าง บริษัทศรีพิพัฒน์ Engineering ที่ก่อตั้งมา 37 โดยดำเนินธุรกิจหลักคือการนำเข้าและผลิตเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมอาหารให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำในประเทศไทย ในอดีต ความต้องการของตลาดอาจจำกัดอยู่แค่การลดจำนวนคนงานในส่วนที่ไม่ซับซ้อน แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์เปลี่ยนไป เนื่องจากปัญหาการหาแรงงานที่ยากขึ้น ความต้องการกำลังการผลิตที่สูงขึ้น และความต้องการคุณภาพรวมถึงความน่าเชื่อถือ (reliability) ที่ลูกค้าคาดหวังมากขึ้น ดังนั้น การนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาเพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องนำเสนอ ระบบทั้งระบบ ที่มีการเชื่อมต่อให้เป็นระบบอัตโนมัติ เพื่อทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโรงงานของลูกค้า
เครื่องจักรอาหารแบ่งออกได้เป็น 3-4 ประเภทหลัก ได้แก่:
- เครื่องจักรแปรรูปอาหาร (Processing) ซึ่งเปลี่ยนวัตถุดิบให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น การแปรรูปเนื้อสดให้เป็นไส้กรอก หรือการแปรรูปมันฝรั่งให้เป็นมันฝรั่งทอด (ชิป)
- เครื่องจักรบรรจุ (Packaging) ซึ่งมีหลากหลายประเภทตามลักษณะของสินค้า
- เครื่องจักรตรวจสอบคุณภาพ (Inspection) เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารที่ผู้บริโภคได้รับมีความปลอดภัย โดยใช้เทคโนโลยี เช่น การตรวจจับโลหะด้วยแม่เหล็กหรือ X-ray รวมถึงการชั่งน้ำหนักเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีน้ำหนักตามที่ระบุจริง
- ระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อเชื่อมต่อเครื่องจักรในกระบวนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
การผลิตแบบ In-House และนวัตกรรมที่เกิดจากวิศวกรไทย
คุณณัฐ ฉายภาพการทำงานในลักษณะที่ต้องเรียกว่ามีการบูรณาการภายในสูง (in-house) โดยครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การผลิตวัสดุ ไปจนถึงการประกอบ ผ่านทีมวิศวกรมากกว่า 10 ชีวิต ที่ใช้โปรแกรม 3D ในการเขียนแบบเพื่อให้การออกแบบมีมาตรฐานและความถูกต้อง โดย 70-80% ของชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบเครื่องจักรนั้นผลิตขึ้นเองโดยคนไทย การทำงานแบบครบวงจรนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว (Fast reaction) เพราะลูกค้าจะไม่ต้องเสียเวลาจอดรอเป็นเดือนเพื่อรอเพียงชิ้นส่วนเล็ก ๆ โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการออกแบบเครื่องจักรที่ซับซ้อนเช่นนี้สูงถึง 200-300 เครื่องต่อปี

สิ่งที่โดดเด่นและแสดงถึงนวัตกรรมคือความสามารถในการคิดค้นและออกแบบเครื่องจักรที่ไม่สามารถหาได้จากต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น เครื่องทำขนมจีบ ซึ่งเป็นเครื่องที่คิดค้น จดสิทธิบัตร และทำเองทุกอย่างโดยวิศวกรไทย สาเหตุที่ต้องทำเองก็เพราะเครื่องจักรที่คล้ายกันจากต่างประเทศไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์ เครื่องทำขนมจีบที่คิดค้นโดยวิศวกรคนไทยนี้สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ และทุกส่วนทำจากสแตนเลส 100% ซึ่งปลอดภัยกว่าการใช้อะลูมิเนียม ซึ่งเมื่อโดนน้ำไปเรื่อย ๆ อาจเกิดคราบขี้เกลือเขียว ๆ ขึ้นมาได้
นักอุตสาหกรรมรุ่นใหม่: จาก Chemical Engineer สู่ผู้นำธุรกิจหลายร้อยล้าน
คุณณัฐ ซึ่งเป็นนักอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ เข้ามาทำงานในสายอุตสาหกรรมเครื่องจักรอาหาร กว่า 10 ปี แม้ว่าคุณณัฐ จะจบการศึกษาด้านวิศวกรรมเคมี (Chemical Engineering) ซึ่งไม่ใช่สายงานที่ตรงกับธุรกิจเครื่องจักรโดยตรง แต่พื้นฐานความรู้บางอย่างก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ ก่อนที่จะกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว คุณณัฐได้ออกไปทำงานที่อื่นก่อนประมาณปีนิด ๆ เพื่อท้าทายตนเองและเรียนรู้ว่าตนเองจะอยู่รอดในระบบการทำงานปกติได้ดีแค่ไหน แรงจูงใจในการกลับมาคือการได้โอกาสบริหารงานบริษัทที่มี ยอดขายหลายร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสที่น้อยคนนักในช่วงอายุเดียวกันจะได้ทำ
ตำแหน่งแรกที่คุณพ่อให้คุณนัทเริ่มต้นคือ งานขาย (Sales) คุณพ่อได้สอนว่าในธุรกิจนั้นมีหัวใจสำคัญอยู่ 3 ส่วนคือ การซื้อ การขาย และการเก็บรักษา ซึ่งฝ่ายขายถือเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญนั้น และการขายควรจะเป็นหน้าที่ของลูกหลาน ทายาทธุรกิจเอง ส่วนฝ่ายซื้อและฝ่ายเก็บรักษาอาจให้ผู้อื่นทำได้ การทำงานนี้ทำให้คุณนัทต้องไปดูงานและได้รับการฝึกฝนจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้มีความรู้ทั้งด้านเทคนิค ด้านความเข้าใจลูกค้า และด้านการบริหารจัดการ
บทเรียนจากรุ่นบุกเบิก และการบริหารจัดการบุคลากรต่าง Generation
ในการรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว คุณณัฐ ได้ยอมรับว่าช่วงแรกมีปัญหาในการปรับตัว เนื่องจากวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทใหญ่อาจดูเป็นมืออาชีพกว่า ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมที่บ้าน แต่คุณณัฐ เลือกที่จะใช้เวลาในการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีหลักในการทำงานคือ การมองงานเป็นหลัก คุณณัฐ มองว่าตนเองมีประสบการณ์น้อยกว่าลูกน้องเก่าของคุณพ่อ จึงต้องยอมรับในเรื่องนี้ การบริหารจัดการคนเก่าแก่เหล่านี้ทำได้โดยการให้เกียรติพวกเขา และวิเคราะห์ข้อมูลที่พวกเขาให้มาว่ามีความเป็นไปได้และเป็นจริงหรือไม่ คุณณัฐเชื่อว่าคนเก่า ๆ มักจะให้มุมมองที่คนส่วนใหญ่ในองค์กรไม่มี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องนำมาพิจารณา
คุณณัฐได้เรียนรู้หลักการสำคัญจากคุณพ่อที่เป็นรูปธรรมคือ ความขยัน ซึ่งคุณพ่อเป็นคนที่ทำงานมาก ไม่หยุดพัก แม้แต่วันอาทิตย์ก็ไม่หยุด อีกสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือ ความไม่ย่อท้อ หรือความมุ่งมั่นที่จะรีบลุกขึ้นมาสู้ใหม่เมื่อล้มเหลว นอกจากนี้ ในการทำงานกับคนต่างรุ่น คุณณัฐ เข้าใจว่าลักษณะการทำงานของคนแต่ละรุ่นไม่เหมือนกัน และการที่ลูกน้องเก่าถูก “ปลูกฝัง” ให้ทำงานตามแบบที่คุณพ่อเคยต้องการมาเป็น 10 ปี การจะให้พวกเขาเปลี่ยนทันทีตามที่คนรุ่นใหม่ต้องการนั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงจึงต้องทำอย่างค่อย ๆ และใจเย็น
YFTI: การขยายโลกทัศน์และการเรียนรู้จากเพื่อนร่วมวงการ
คุณณัฐ เป็นศิษย์เก่าของ Young FTI (YFTI) รุ่น 10 มองว่าการเข้ามาร่วมกลุ่มนี้ช่วยให้ โลกทัศน์กว้างขึ้น เพราะได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่างจากสมาชิก ข้อดีที่สำคัญคือ YFTI ได้รวบรวมคนที่มีความเชี่ยวชาญ (expert) ในแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งผู้บริหารระดับสูง ทายาทธุรกิจ และเจ้าของกิจการ ซึ่งมี ช่วงอายุที่ใกล้เคียงกัน ทำให้การพูดคุยสื่อสารกันเป็น “ภาษาเดียวกัน”
คุณณัฐ ได้ยกตัวอย่างโครงการ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ของ YFTI ว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก เพราะได้เห็นมุมมองจากเพื่อน ๆ ซึ่งเป็นเหมือน “กระจกส่อง” ที่ช่วยให้บริษัทเห็นจุดที่ต้องปรับปรุง (improve) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษา (Free consulting) โดยสรุปแล้ว การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ YFTI ช่วยให้เกิดการขยายโลกทัศน์และได้มุมมองที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง










