ถ้าหากพูดถึงชื่อของ SCG คงไม่มีใครในประเทศไทยไม่รู้จักแบรนด์ผู้ผลิตปูนแถวหน้าของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปูนที่มีคุณภาพ หรือในเรื่องของการใช้นวัตกรรมในองค์กรที่เรียกได้ว่ามีความโดดเด่นเป็นลำดับต้น ๆ ในการทำธุรกิจของประเทศ โดยในวันนี้ SCG ได้ยกระดับการทำเหมืองให้เกิดความยั่งยืนยิ่งกว่าที่เคย ด้วยนวัตกรรมการควบคุมระยะไกล และการทำงานอัตโนมัติ ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานไปพร้อม ๆ กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แนวคิด Smart & Green Mining
SCG กับการเติบโตที่อยู่คู่กับการเปลี่ยนแปลงมายาวนานกว่า 110 ปี
SCG หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศที่เริ่มต้นธุรกิจในปี พ.ศ. 2546 เพื่อลดการพึ่งพานำเข้า พร้อมทั้งตั้งเป้าพัฒนาการบริหารจัดการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ให้ประเทศไทยพึ่งพาตัวเองได้ ซึ่งในระยะเวลากว่า 110 ปีที่ผ่านมา SCG กลายเป็นผู้นำในธุรกิจที่มีนวัตกรรมเป็นส่วนสำคัญเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจการทำเหมืองให้มีความยั่งยืนและปลอดภัย
ธุรกิจเหมือง – ความท้าทายที่อันตรายถึงชีวิต
รู้หรือไม่ว่าธุรกิจเหมืองนั้นเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีความอันตรายสูง เนื่องจากสภาพแวดล้อมในการทำงานเต็มไปด้วยข้อจำกัดและความเสี่ยงที่อันตรายถึงชีวิตจำนวนมาก เพื่อให้เห็นภาพของความท้าทายและความอันตรายของธุรกิจเหมืองอย่างชัดเจน SCG ได้แบ่งความท้าทายในการทำเหมืองยุคปัจจุบันออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย – ความเสี่ยงของพนักงานในพื้นที่เหมืองและการควบคุมเครื่องจักรขนาดใหญ่ รวมถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่อันตรายและซับซ้อน
- ต้นทุนการปฏิบัติงานที่สูงและไร้ประสิทธิภาพ – น้ำมันเชื้อเพลิงปริมาณมหาศาลเป็นต้นทุนที่ผันผวน, เวลาการทำงานที่สูญเปล่า และประสิทธิภาพการทำงานต่ำจากการสั่งงานแบบ Manual
- การขาดแคลนแรงงานและความผิดพลาดของแรงงาน – ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะเหมาะสม และความผิดพลาดจากแรงงานส่งผลต่อต้นทุน รวมถึงความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
- ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมและแรงกดดันจากสังคม – การปลดปล่อยคาร์บอน และ PM 2.5 จากเครื่องจักรดีเซล, ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งเสียง ฝุ่น และชุมชนรอบข้าง รวมถึงแรงกดดันจากนโยบาย และนักลงทุนที่มีต่อเป้าหมาย Carbon Neutrality ขององค์กร
หนึ่งในกรณีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดด้านความปลอดภัย คือ ความเสี่ยงของแรงงานในพื้นที่ เช่น การควบคุมรถบรรทุกเพื่อขนย้ายวัตถุดิบที่ตัวรถมีน้ำหนักมากกว่า 90 ตัน ภายใต้สภาพแวดล้อมของเหมือง จึงเกิดเป็นภาระความเหนื่อยล้ากับร่างกายของผู้ปฏิบัติงานในระดับสูง
สำหรับภาคธุุรกิจเองต้นทุนการขนส่งในเหมืองที่เกิดขึ้นนั้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของต้นทุนการทำเหมือง โดยรถบรรทุกเหมืองใช้น้ำมันดีเซลเฉลี่ย 40 – 45 ลิตรต่อชั่วโมง ซึ่งรถบรรทุก 1 คันที่ใช้จะปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 300 ตันต่อปี ส่งผลต่อ PM 2.5 และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ที่ตามมาอีกด้วย การทำเหมืองในปัจจุบันจึงมีต้นทุนที่สูง และจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนโยบายด้านความยั่งยืนที่มีบทลงโทษด้านมลพิษ
เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจเหมือง SCG จึงได้นำแนวคิด Smart & Green Mining ที่มีหัวใจหลัก คือ เทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ธุรกิจเหมืองของไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3 วัตถุประสงค์ทางธุรกิจขับเคลื่อน SCG ภายใต้แนวคิด Smart & Green Mining
แนวคิด Smart & Green Mining หรือการทำเหมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืนของ SCG นั้นตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 3 ประการ ที่จะเป็นแกนสำคัญในการปรับปรุงธุรกิจเหมือง ได้แก่
- การเพิ่มผลิตภาพในการทำงานด้วยแรงงานทักษะสูง
- ลดต้นทุนที่มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนด้านพลังงาน
- การแก้ปัญหาโลกร้อน โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการคาร์บอนที่เกี่ยวข้อง

‘นวัตกรรม’ DNA สำคัญที่ทำให้ SCG เติบโตและแข่งขันในฐานะ ‘ผู้นำ’ ตลอด 110 ปี ที่ผ่านมา
SCG นั้นถือเป็น First Mover ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีในหลากหลายธุรกิจ ทำให้ตลอดระยะเวลา 110 ปีที่ผ่านมา SCG กลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการใช้แนวคิด Smart & Green Mining เองก็เป็นการนำนวัตกรรมอัจฉริยะที่ผสานเอาโลกของดิจิทัลกับกายภาพเข้าด้วยกัน พลิกโฉมธุรกิจเหมืองที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงให้ยั่งยืนและเป็นมิตรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกมิติ
Digital Transformation สู่การบริหารจัดการเหมืองให้เกิดประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนแบบ Real-Time
ขั้นตอนการทำเหมืองนั้นประกอบด้วยการสำรวจพื้นที่ การวางแผนการทำเหมือง การขุดเจาะ การตักและขนส่ง และการบดย่อย ซึ่งเป็นกิจกรรมพื้นฐาน เดิมทีกิจกรรมเหล่านี้เป็นการลงพื้นที่ของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด นอกจากนี้ SCG ยังมีพันธกิจในการฟื้นฟูและปรับปรุงพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแล้วให้มีความปลอดภัย และการปลูกป่าด้วยพันธุ์ไม้ท้องถิ่นดั้งเดิมเพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นประเด็นที่มีความท้าทายอย่างมากในโลกยุคใหม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากในการบริหารจัดการ
เพื่อให้เกิดการปรับตัวที่สอดคล้องกับความท้าทายดังกล่าว SCG จึงได้จำแนกการบริหารจัดการความท้าทายในมิติต่าง ๆ ออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ การบริหารจัดการแรงงาน, การบริหารจัดการคงคลัง, การบริหารจัดการอุปกรณ์, การบริหารจัดการเครื่องจักรและกระบวนการสำรวจ, การบริหารจัดการการประกันคุณภาพ และการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดการบริหารจัดการ 6 กลุ่มนี้ได้เกิดเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงเครื่องจักรอัตโนมัติต่าง ๆ เข้ามาเพื่อทำให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ลดความสูญเปล่า และสร้างความปลอดภัยยั่งยืนให้กับการทำเหมือง จึงเกิดเป็นแพลตฟอร์มการทำเหมืองแบบครบวงจร (Workflow Platform) ประกอบด้วย 7 โมดูลนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนการทำเหมืองของ SCG ในปัจจุบัน

7 โมดูลพลิกโฉมการทำเหมืองอัจฉริยะจาก SCG
- การสำรวจและวางแผนการทำเหมืองอัจฉริยะ – ใช้โดรนในการสำรวจและสร้างภาพถ่ายภูมิประเทศ จากนั้นสร้างแบบจำลองแหล่งแร่แบบ 3 มิติ เพื่อวางแผนการทำเหมือง และการควบคุมคุณภาพ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าที่สุด
- การขุดเจาะอัจฉริยะ – ใช้โมเดล 3 มิติและการจำลองในการออกแบบ และวางแผนการขุดเจาะ เพิ่มความแม่นยำและลดความสูญเปล่า พร้อมการติดตามและประมวลด้วยโดรน ทั้งการประมวลผลภาพการแตกตัวของหิน รวมถึงการประเมินและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
- การบริหารยานพาหนะอัจฉริยะ – ใช้การแบ่งปันและอัปเดตข้อมูลแบบ Real-Time พร้อมจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม รวมถึงการใช้การจ่ายงานรถตักกับรถบรรทุกแบบเรียวไทม์ (Real-Time Truck-Shovel Dynamic Dispatching) เพื่อลดความสูญเปล่าในการทำงาน
- Autonomous System – ด้วยการควบคุมเครื่องจักรระยะไกล รวมถึงเครื่องจักรไร้คนขับผ่านเทคโนโลยี 5G และ IoT ทำให้ลดความเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงานรวมถึงความเหนื่อยล้าด้วย นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถควบคุมเครื่องจักรจากศูนย์ควบคุมไปยังหน้างานที่ใดก็ได้บนโลก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความหน่วงในการตอบสนองต่อสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น
- ห้องควบคุมกลางในการบดหิน – ใช้การประมวลภาพขนาดวัตถุดิบและ AI กับระบบป้อนหินเข้าเครื่องย่อยอัตโนมัติเพื่อควบคุมการทำงานให้เหมาะสม พร้อมวิเคราะห์ขนาดหินด้วยการประมวลผลภาพ เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการสุ่มตรวจหรือเก็บข้อมูลไม่ครบอีกต่อไป
- การจัดส่งอัจฉริยะ – เพิ่มความรวดเร็วและปลอดภัยในการจัดส่ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งวัตถุดิบแบบออนไลน์ จองคิว และจ่ายหินอัตโนมัติเพียงแค่สแกนบาร์โค้ด รวมถึงการจ่ายเงินในระบบดิจิทัล
- การฟื้นฟูพื้นที่อัจฉริยะ – ยกระดับการฟื้นฟูหลังการทำเหมือง วางแผนและปลูกป่าด้วยนวัตกรรมอย่างเช่น Digital Twin, การออกแบบแผนการปิดเหมืองด้วยการจำลอง, การสำรวจชีพลักษณ์ด้วย AI แยกพรรณไม้และช่วงเวลาการติดดอก, โดรนสำหรับฟื้นฟูเหมืองด้วยการหยอดเมล็ดพันธุ์อย่างแม่นยำ, การติดตามและประเมินผลการฟื้นฟู รวมถึงการติดตามสัตว์ป่าโดยใช้กล้องตรวจจับความร้อน
การใช้เทคโนโลยียุคใหม่ในแต่ละขั้นตอน นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว ยังทำให้เกิดความสะดวก และการต่อยอดการใช้งานได้อย่างยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น การใช้รถบรรทุกไฟฟ้าและการบริหารจัดการยานพาหนะแบบ Real-Time รวมถึงการควบคุมระยะไกลสามารถลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ถึง 75% ในขณะที่การปลดปล่อยคาร์บอนลดลงได้มากถึง 35% เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 6,000 ต้นต่อปี และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้กว่า 20%
SCG จับมือพันธมิตรเปลี่ยนแนวคิดในกระดาษสู่โลกดิจิทัลและความสำเร็จที่สัมผัสได้จริง
ความสำเร็จของ Smart & Green Mining ที่ถือเป็นการบุกเบิกนวัตกรรมใหม่ของธุรกิจเหมือง เกิดขึ้นจากความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญหลากหลายฝ่ายในการบูรณาการเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่มีเข้าด้วยกัน ซึ่งพันธมิตรหลัก 5 รายที่ทำงานด้วยกัน ได้แก่ SCG ผู้นำอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์และเชี่ยวชาญด้านธุรกิจเหมืองแร่, AIS Business ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, Huawei ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมโทรคมนาคม, Waytous ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเหมืองอัจฉริยะ และ Yutong ผู้เชี่ยวชาญด้านยานพาหนะยุคใหม่

ความท้าทายสำคัญที่เกิดขึ้นในการทำ Smart & Green Mining ของ SCG ในครั้งนี้ คือ การทำเหมืองอัจฉริยะนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย การศึกษาและการทดสอบ วางแผนต่าง ๆ จึงเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่… แต่ไม่ทั้งหมด โดยพันธมิตรแต่ละรายได้ใช้ความเชี่ยวชาญเดิมที่มีมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน เช่น การที่ AIS Business กับ Huawei ร่วมมือกันวางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายในพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ในขณะที่ SCG พัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกับ Waytous และ Yutong เป็นต้น
การออกแบบ ประสบการณ์ และการคำนวณทางวิศวกรรมที่เคยอยู่ในภาพร่าง เคยอยู่ในกระดาษโน้ตต่าง ๆ จำเป็นต้องถูกแปลงขึ้นไปอยู่บน Cloud บูรณาการผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเชื่อมโยงต่อกลับมาเป็นการทำงานทางกายภาพ และในสเกลของการทำเหมืองนั้น Cyber-Physical System ที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง และจำเป็นต้องมีการตอบสนองแบบ Real-Time เป็นหลักในการทำงานรายวัน กลายเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของระบบเครือข่ายที่ต้องรองรับการใช้งาน ที่เรียกได้ว่ารีดประสิทธิภาพของ 5G และอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมาในระดับสูงที่สุด
AIS Business พันธมิตรสำคัญในความสำเร็จ Smart & Green Mining ของ SCG
ความสำเร็จของ Smart & Green Mining ที่เกิดขึ้นนั้นมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างระบบโครงข่าย 5G ความหน่วงต่ำเป็นเหมือนกระดูกสันหลังก็ว่าได้ เพราะระบบที่เกิดขึ้นนั้นให้ความสำคัญกับการทำงานแบบ Real-Time ที่ต้องเกิดขึ้นพร้อมกับความหน่วงที่ต่ำมากเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อสถานการณ์ผ่านเครือข่ายได้อย่างทันท่วงที
จากความสำเร็จของ AIS Business ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันด้านการสื่อสารไร้สายชั้นนำของภูมิภาค ซึ่งเคยได้ร่วมงานกับ SCG ในการวางระบบฟอร์คลิฟต์ควบคุมระยะไกลจนเกิดผลสำเร็จอันน่าประทับใจมาแล้ว ทำให้ AIS Business ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Smart & Green Mining ที่มีความท้าทายสูง ในฐานะผู้บุกเบิกนวัตกรรมใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย

ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขของเหมืองอัจฉริยะและยั่งยืนยุคใหม่ทำให้ประเด็นของสถาปัตยกรรมด้านเครือข่าย (Network Architect) จึงกลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีความสำคัญที่สุดของโครงการ เพราะต้องรองรับทั้ง Dynamic Dispathcing และยานยนต์อัตโนมัติ ซึ่ง AIS Business มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่เป็นทุนเดิม ทำให้สามารถปรับจูนทรัพยากรในเครือข่ายได้อย่างเหมาะสมด้วย Network Slicing เพื่อให้เกิดความหน่วงที่ต่ำและเหมาะสมกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดย SCG และพันธมิตรจะร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาและนำไปใช้งานผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งในพื้นที่เหมืองนั้นจะมีการขึ้นเสาสัญญาณ Private Network สำหรับ 5G แยกออกมาเพื่อรับประกันประสิทธิภาพในการใช้งานอีกด้วย
การเอาชนะความท้าทายในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั้น สิ่งสำคัญ คือ การใช้องค์ความรู้เดิมที่มีนำมาต่อยอดและพัฒนาร่วมกับองค์ความรู้จากสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งกรณีของ Smart & Green Mining ของ SCG นั้นเป็นตัวอย่างที่เห็นเส้นทางการพัฒนา-เปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ความท้าทายและการทำเหมืองในรูปแบบเดิม ไปจนถึงผลลัพธ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีจนเกิดเป็นนวัตกรรมที่เอาชนะความท้าทายที่มีอยู่ ไปจนถึงการปรับตัวให้สอดคล้องกับเงื่อนไขการแข่งขันยุคใหม่ที่เกิดขึ้น เช่น ประเด็นด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมหลากหลายมิติ

ผู้ประกอบการที่ต้องการใช้งานนวัตกรรมด้านเครือข่ายไร้สายเพื่อแก้ปัญหาและเอาชนะความท้าทายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในพื้นที่ห่างไกล เงื่อนไขการใช้งานมีความจำเพาะเจาะจงและมีความซับซ้อนในระดับสูง ตลอดจนการมองหาโซลูชันเพื่อแก้ไขปัญหาในธุรกิจ เช่น โรงงานการผลิตต้องการปรับปรุงระบบเครือข่ายข้อมูล AIS Business พร้อมสนับสนุนความต้องการเหล่านี้ด้วยความเชี่ยวชาญและเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกความต้องการในธุรกิจ
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับ Smart Factory และการผลิตยุคใหม่จาก AIS Business สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://m.ais.co.th/7LHLdmxt8









