การปฏิวัติคลังสินค้าด้วย AMR กำลังเกิดขึ้นจริงในไทย
เมื่อหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติหรือ Autonomous Mobile Robot (AMR) เข้ามาเปลี่ยนโฉมการทำงานแบบเดิม ตลาด ‘AMR ทั่วโลกมีมูลค่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตรา 17.6% ต่อปีตั้งแต่ปี 2025 ถึง 2034’ โดยคลังสินค้าที่นำระบบนี้ไปใช้ ‘สามารถลดต้นทุนแรงงานลงได้ถึง 40% ภายในระยะเวลา 5 ปี’
‘สำหรับประเทศไทย ตลาดหุ่นยนต์คลังสินค้ามีมูลค่า 23.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024’ และ ‘คาดว่าจะเติบโตไปถึง 78.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030’ ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 21.5% ต่อปี ในแง่ของจำนวนหุ่นยนต์ ตลาดมีขนาด 1,230 หน่วยในปี 2024 และ ‘คาดว่าจะเพิ่มเป็น 4,410 หน่วยภายในปี 2030 ด้วยอัตราเติบโต 22.5% ต่อปี’
การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซและความต้องการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานกลายเป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้ธุรกิจไทยหันมาลงทุนในเทคโนโลยีการจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติมากขึ้น สมาคมอีคอมเมิร์ซประเมินว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยมีมูลค่า 23,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และ เติบโตเป็น 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 พร้อมคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025
AMR กับ AGV ต่างกันอย่างไร ? ทำไมต้องเลือก AMR
หลายคนอาจสงสัยว่า AMR แตกต่างจาก AGV (Automated Guided Vehicle) ที่เคยได้ยินกันมาอย่างไร คำตอบสำคัญอยู่ที่ความยืดหยุ่นและความฉลาดในการทำงาน ‘AGV ต้องอาศัยเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นสายแม่เหล็ก สายไฟฝังพื้น หรือเทปแนวทาง ทำให้ไม่สามารถปรับเส้นทางเมื่อเจออุปสรรคได้’
ในทางตรงกันข้าม ‘AMR ใช้เซ็นเซอร์ขั้นสูง กล้อง และเทคโนโลยี LiDAR ในการสร้างแผนที่แบบเรียลไทม์ AMR สามารถตรวจจับสิ่งกีดขวางและเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเส้นทางคงที่ เมื่อเจอพนักงานหรือสิ่งกีดขวาง AMR จะหลบหรือหาเส้นทางใหม่โดยอัตโนมัติและทำงานได้อย่างปลอดภัยควบคู่ไปกับมนุษย์’
นอกจากนี้ ‘AMR ยังมีข้อได้เปรียบด้านความยืดหยุ่นในการปรับขนาดการใช้งาน เนื่องจากไม่ต้องดัดแปลงโครงสร้างคลังสินค้าหรือติดตั้งอุปกรณ์นำทางบนพื้น’ การเพิ่มจำนวนหุ่นยนต์สามารถทำได้ง่ายตามความต้องการของธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม
ประโยชน์ของ AMR ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพจริง
ตัวเลขที่น่าประทับใจที่สุดของการใช้ AMR คลังสินค้าคือ ‘ผลตอบแทนที่วัดได้ชัดเจน’ งานวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology ‘พบว่าคลังสินค้าที่ใช้ AMR มีความแม่นยำเพิ่มขึ้น 20% และลดเวลาในการประมวลผลคำสั่งซื้อลง 30%’
ด้านต้นทุนดำเนินงาน รายงานจาก Robotics Business Review ระบุว่า ‘องค์กรที่นำ AMR มาใช้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานลง 40% และลดต้นทุนการดำเนินงานโดยรวมลง 25%’ รายงานบางฉบับระบุว่าผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 50% และสามารถคืนทุนได้ภายในห้าปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
นอกเหนือจากการลดต้นทุน AMR ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจาก International Federation of Robotics แสดงว่า ‘คลังสินค้าที่ใช้ AMR มีอุบัติเหตุในที่ทำงานลดลงถึง 70% เนื่องจากหุ่นยนต์สามารถรับภาระงานที่หนักและมีความเสี่ยงสูงแทนพนักงาน’
ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติในยุค Industry 4.0
การนำ AMR มาใช้ในคลังสินค้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบคลังสินค้าอัตโนมัติแบบครบวงจร ในโลจิสติกส์อัตโนมัติยุคใหม่ AMR ทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ อย่างลงตัว เช่น ระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management System) ที่ควบคุมการไหลของสินค้า ระบบ AI ที่วิเคราะห์เส้นทางและจัดลำดับความสำคัญของงาน และเซ็นเซอร์ IoT ที่ติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์
ข้อดีของระบบแบบบูรณาการนี้คือ ‘ความสามารถในการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก’ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องรองรับคำสั่งซื้อออนไลน์ที่เข้ามาตลอดเวลา AMR สามารถชาร์จแบตเตอรี่เองผ่านระบบ autonomous docking ที่ใช้เทคโนโลยีการจัดตำแหน่งด้วยแม่เหล็กและ pogo pins โดยระบบชาร์จแบบ high-current DC มีกำลังไฟ 1.5-10 kW สามารถเติมพลังงานแบตเตอรี่ได้ภายในไม่ถึง 30 นาที ทำให้ AMR มีอัตราการพร้อมใช้งานสูงถึง 99%

บริษัทชั้นนำปรับใช้ AMR(Autonomous Mobile Robot)
หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จของการใช้ AMR ในประเทศไทยคือกรณีของบริษัท European Food ผู้ผลิตน้ำตาลและขนมชั้นนำของประเทศ บริษัทได้นำหุ่นยนต์เคลื่อนที่แบอัตโนมัติจำนวน 50 ตัวเข้ามาใช้ในโรงงานสองแห่ง เพื่อทดแทนการใช้รถฟอร์คลิฟท์แบบเดิม
EUROPEAN FOOD/Food & Beverage/Thailand/ Level up the Warehouse Automation
ผลลัพธ์ที่ได้คือการทำงานแบบ 24/7 ที่ครอบคลุมกระบวนการรับสินค้า การจัดเก็บในคลังสินค้า และการจัดส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากเพิ่มประสิทธิภาพในคลังสินค้าแล้ว ยังช่วยลดปัญหาต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่คณะกรรมการค่าจ้างของไทยอนุมัติโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งเป็นแรงผลักดันเพิ่มเติมให้ธุรกิจหันมาใช้หุ่นยนต์คลังสินค้าเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรและประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งคือผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกที่มีโรงงานในไทย ซึ่งประสบความสำเร็จในการนำ AMR มาใช้ขนส่งรถพ่วงที่มีน้ำหนักมากกว่า 2 ตัน และสามารถคืนทุนได้ภายในเวลาไม่ถึงสองปี แสดงให้เห็นว่าการลงทุนใน AMR ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและรวดเร็ว
อนาคตของตลาดคลังสินค้าไทยกับเทคโนโลยีอัตโนมัติ
‘ตลาดคลังสินค้าอัตโนมัติในไทยมีมูลค่า 25,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และคาดว่าจะเติบโตเป็น 54,3 00 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2031 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ย 13.2% ต่อปี’ การขยายตัวนี้ได้รับแรงหนุนจากความต้องการความแม่นยำในการสั่งซื้อ เวลาจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น และการใช้พื้นที่จัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตคือการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซและผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่สาม (3PL) ในไทย เทคโนโลยีคลังสินค้าอัตโนมัติอย่างรถนำทางอัตโนมัติ (AGVs) แขนกลหุ่นยนต์ และระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีหลักในอุตสาหกรรม การนำ AMR และหุ่นยนต์แบบ collaborative มาใช้จะปฏิวัติการดำเนินงานคลังสินค้า
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการคลังสินค้ายังต้องเผชิญกับความท้าทายจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้นที่สูง ซึ่งรวมถึงต้นทุนฮาร์ดแวร์ การบูรณาการระบบ และการฝึกอบรมพนักงาน สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และคลังสินค้า ต้นทุนเหล่านี้มักเกินกว่าผลประโยชน์ที่คาดหวังในระยะสั้น
ก้าวแรกสู่การปรับใช้ AMR ในธุรกิจ
สำหรับองค์กรที่กำลังพิจารณาจะนำ AMR มาใช้ ขั้นตอนแรกคือการประเมินความพร้อมของคลังสินค้า วิเคราะห์กระบวนการทำงานที่ซ้ำซากและใช้เวลานาน เช่น การขนย้ายสินค้า การคัดแยกสินค้า หรือการเติมสินค้าบนชั้นวาง ซึ่งเป็นจุดที่ AMR สามารถเข้ามาเพิ่มมูลค่าได้ทันที
การเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องลงทุนครั้งใหญ่ครั้งเดียว ธุรกิจสามารถเริ่มจากการทดลองใช้ AMR ในพื้นที่หนึ่งก่อน แล้วค่อยๆ ขยายไปยังพื้นที่อื่นเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ความยืดหยุ่นของ AMR ทำให้การปรับขนาดการใช้งานเป็นเรื่องง่าย และสามารถปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของธุรกิจได้ตลอดเวลา
การลงทุนใน AMR ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อหุ่นยนต์ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานทั้งระบบ AMR สามารถทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น เชื่อมต่อกับระบบ WMS และ ERP เพื่อการจัดการงานแบบประสานกัน และสามารถเลี่ยงเส้นทางระบบอัตโนมัติที่มีอยู่โดยไม่ต้องดัดแปลงโครงสร้างอาคารอย่างมีนัยสำคัญ
การเตรียมพนักงานให้พร้อมรับมือกับเทคโนโลยีใหม่และการบูรณาการระบบต่างๆ เข้าด้วยกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ สหรัฐอเมริกามีโครงการฝึกอบรมที่เน้นด้านหุ่นยนต์ AI และโลจิสติกส์ขั้นสูง เช่น National Science Foundation ได้ลงทุน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการเพื่อเตรียมคนงานสำหรับอาชีพด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ การลงทุนในการพัฒนาทักษะช่วยให้คนงานเปลี่ยนไปสู่บทบาทที่มีมูลค่าสูงขึ้นและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงาน
โอกาสการจ้างงานในยุค AMR
แม้ว่าการนำ AMR มาใช้อาจทำให้เกิดความกังวลเรื่องการว่างงาน แต่ความเป็นจริงคือเทคโนโลยีนี้สร้างโอกาสการจ้างงานรูปแบบใหม่ สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐคาดการณ์ว่าความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะเติบโตขึ้น 13% ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2030 สะท้อนถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีเหล่านี้ในสถานที่ทำงานสมัยใหม่
งานใหม่ที่เกิดขึ้นรวมถึงช่างซ่อมบำรุงหุ่นยนต์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และนักวิเคราะห์ข้อมูลโลจิสติกส์ บทบาทเหล่านี้ต้องการการผสมผสานระหว่างความรู้ทางเทคนิคและทักษะการแก้ปัญหา ซึ่งให้เส้นทางอาชีพที่หลากหลายและมีคุณค่า นอกจากนี้ การผลิต AMR ยังสร้างงานให้กับวิศวกร นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และพนักงานผลิต ขณะที่ข้อมูลจำนวนมากที่ AMR สร้างขึ้นก็ต้องการนักวิเคราะห์ข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์










