น้ำแข็งแอนตาร์กติกที่ละลายอย่างต่อเนื่องกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่มหาสมุทรแอนตาร์กติก กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ แม้ว่ากระบวนการนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเกราะป้องกันภาวะโลกร้อนในช่วงเวลานี้ แต่ ‘นักวิทยาศาสตร์เตือนว่ามันเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่อาจพังทลายได้ทุกเมื่อ’ และอาจนำไปสู่การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศในอนาคต
* คำว่า มหาสมุทรแอนตาร์กติก ในบทความนี้ หมายถึง มหาสมุทรใต้หรือ Southern Ocean ที่เป็นมหาสมุทรตอนใต้สุดของโลกที่ล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกา
นักวิจัยจากสถาบัน Alfred Wegener ได้ศึกษาข้อมูลจากการสำรวจมหาสมุทรระหว่างปี 1972-2021 และพบว่าน้ำจืดจากการละลายของน้ำแข็งและปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นได้สร้างชั้นกั้นธรรมชาติในมหาสมุทรแอนตาร์กติก ชั้นน้ำจืดที่มีความเค็มต่ำนี้ทำหน้าที่เหมือนฝาปิดที่กักเก็บน้ำลึกซึ่งอุดมไปด้วยคาร์บอนไม่ให้ไหลขึ้นสู่ผิวน้ำ ซึ่งช่วยลดการปลดปล่อย CO₂ สู่อากาศและรักษาบทบาทของมหาสมุทรแอนตาร์กติก ในฐานะแหล่งดูดซับคาร์บอนขนาดใหญ่ที่ ‘ดูดซับ CO₂ ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของการดูดซับทางมหาสมุทรทั้งหมดของโลก’
ดร. เลอา โอลิวิเย่ ผู้นำการศึกษาอธิบายว่า “เราพบว่าตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ชั้นน้ำทั้งสองมีความแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ” การที่น้ำผิวจืดขึ้นนี้ทำให้ความหนาแน่นของน้ำแตกต่างกันมากขึ้น จึงปิดกั้นน้ำลึกที่อุดมด้วยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม กลไกป้องกันนี้เริ่มมีความเปราะบางมากขึ้น ลมตะวันตกที่แรงขึ้นจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังผลักดันให้ชั้นน้ำลึกที่มีคาร์บอนสูงเคลื่อนเข้าใกล้ผิวมหาสมุทรมากขึ้นประมาณ 40 เมตรนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เมื่อ ‘ชั้นกั้นนี้อ่อนแอลงและน้ำทั้งสองชั้นผสมกันได้ง่ายขึ้น’ ก๊าซ CO₂ ที่เคยถูกกักเก็บไว้ก็อาจรั่วไหลขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้ ‘ซึ่งอาจเปลี่ยนบทบาทของมหาสมุทรแอนตาร์กติก จากแหล่งดูดซับคาร์บอนกลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอน’
“การศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่าน้ำผิวที่จืดขึ้นนี้ชดเชยการอ่อนแอลงของแหล่งดูดซับคาร์บอนในมหาสมุทรแอนตาร์กติก ได้ชั่วคราว ตามที่แบบจำลองคาดการณ์ไว้ แต่สถานการณ์นี้อาจกลับตัวได้หากชั้นกั้นอ่อนแอลง” – ดร. โอลิวิเย่เตือน
การศึกษาล่าสุดในเดือนตุลาคมยังพบว่ามหาสมุทรแอนตาร์กติก อาจกำลังสะสมความร้อนและคาร์บอนจำนวนมหาศาลที่อาจถูกปลดปล่อยออกมาอย่างฉับพลันเมื่อสภาพบรรยากาศเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ น้ำแข็งในทะเลแอนตาร์กติกในฤดูหนาวปีนี้ยังบันทึกขนาดเล็กเป็นอันดับสามนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลด้วยดาวเทียมเมื่อ 47 ปีก่อน โดยมีขนาดสูงสุดเพียง 17.81 ล้านตารางกิโลเมตรเมื่อวันที่ 17 กันยายน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประวัติศาสตร์ถึง 900,000 ตารางกิโลเมตร
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า “แนวโน้มที่น้ำแข็งในทะเลแอนตาร์กติกลดลงอย่างต่อเนื่องนี้สร้างความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับเสถียรภาพและการละลายของแผ่นน้ำแข็ง” สถาบัน Alfred Wegener วางแผนที่จะศึกษากระบวนการเหล่านี้อย่างละเอียดผ่านโครงการระหว่างประเทศ Antarctica InSync เพื่อทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อพลวัตและการกักเก็บคาร์บอนของมหาสมุทรแอนตาร์กติก อย่างไร
Key Summary Points
- มหาสมุทรใต้ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เกือบครึ่งหนึ่งของการดูดซับทั้งหมดในมหาสมุทรทั่วโลก ทำให้เป็นหนึ่งในแหล่งป้องกันภาวะโลกร้อนที่สำคัญที่สุด
- น้ำจืดจากการละลายของน้ำแข็งและปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นได้สร้างชั้นกั้นธรรมชาติที่กักเก็บน้ำลึกอุดมด้วยคาร์บอนไม่ให้ไหลขึ้นสู่ผิวน้ำ ช่วยรักษาความสามารถในการดูดซับ CO₂ ของมหาสมุทรใต้ไว้ได้ชั่วคราว
- ลมตะวันตกที่แรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังผลักดันชั้นน้ำลึกที่มีคาร์บอนสูงเข้าใกล้ผิวน้ำมากขึ้นประมาณ 40 เมตรนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ทำให้ชั้นกั้นมีความเปราะบางมากขึ้น
- หากชั้นกั้นอ่อนแอลงและน้ำทั้งสองชั้นผสมกัน คาร์บอนไดออกไซด์ที่กักเก็บไว้ในน้ำลึกอาจถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งอาจเปลี่ยนบทบาทของมหาสมุทรใต้จากแหล่งดูดซับเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอน
- การศึกษาล่าสุดชี้ว่ากระบวนการปลดปล่อยคาร์บอนนี้อาจเริ่มต้นแล้ว และอาจเกิดการ “burp” ของความร้อนและคาร์บอนที่สะสมไว้อย่างฉับพลัน
- น้ำแข็งในทะเลแอนตาร์กติกฤดูหนาวปี 2025 บันทึกขนาดเล็กเป็นอันดับสามในรอบ 47 ปี โดยมีขนาดสูงสุดเพียง 17.81 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประวัติศาสตร์ 900,000 ตารางกิโลเมตร
- นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าแนวโน้มน้ำแข็งลดลงอย่างต่อเนื่องสร้างความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับเสถียรภาพและการละลายของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติก
- สถาบัน Alfred Wegener วางแผนศึกษากระบวนการเหล่านี้อย่างละเอียดผ่านโครงการ Antarctica InSync เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อพลวัตของมหาสมุทรใต้
Source : Sciencedaily , SciTechdaily










