ศาลกรุงแฟรงก์เฟิร์ตได้ออกคำตัดสินในวันที่ 26 สิงหาคม 2025 นี้ให้ Apple ห้ามใช้คำว่า ‘คาร์บอนเป็นกลาง’ หรือนำเสนอ Apple Watch ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดคาร์บอนในประเทศเยอรมนี
หลังพบว่าการอ้างอิงโครงการปลูกป่ายูคาลิปตัสในปารากวัยเพื่อชดเชยคาร์บอนนั้นไม่โปร่งใสและขาดหลักประกันระยะยาว
โดย 75% ของพื้นที่โครงการนี้มีสัญญาเช่าที่จะหมดอายุในปี 2029 ซึ่งไม่ตรงกับเป้าหมายการชดเชยคาร์บอนตามเป้าหมาย Paris Agreement ที่ควรต่อเนื่องถึงปี 2050
กลุ่มสิ่งแวดล้อม Deutsche Umwelthilfe (DUH) ยกประเด็นว่าโครงการปลูกยูคาลิปตัสสร้างป่าที่ ‘ขาดความ’ หลากหลายและคุณค่าทางระบบนิเวศ โดยต้นไม้ถูกตัดและเผาทำลายเป็นวัฏจักร ส่งผลให้การเก็บคาร์บอนระยะยาวไม่มีหลักประกันที่ชัดเจน
(ความคิดเห็นจากผู้เขียน : การดำเนินโครงการนี้อาจดูคล้ายกับการทำธุรกิจที่ตั้งเป้าให้เกิดวงจรปลูกป่า–สร้างผลกำไร หมุนเวียนต่อเนื่อง มากกว่าจะเป็นการปลูกป่าเพื่อเป้าหมายหลักด้านการดูดซับคาร์บอนอย่างแท้จริง)
บทลงโทษของคนที่แอบเล่นนอกกติกาที่(ไม่ได้)วางเอาไว้
ขณะที่ Apple กำลังเผชิญการฟ้องร้องลักษณะคล้ายกันในสหรัฐฯ กรณีโครงการชดเชยคาร์บอนในเคนยาและจีนที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ ด้าน Environmental Defense Fund (EDF)
องค์กรสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ กลับออกโรงสนับสนุน Apple โดยชี้ว่าการบังคับตรวจสอบโครงการทุกแห่งอย่างอิสระอาจเป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนองค์กรเข้าสู่เป้าหมายคาร์บอนต่ำ
แต่ฝ่ายผู้ฟ้องร้องยืนยันว่าต้องมีความเข้มงวด เพื่อปกป้องความเชื่อมั่นตลาดคาร์บอนและเป้าหมายสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง (แล้วคุณละครับอยู่ทีมไหน เข้มงวด หรืออะลุ่มอล่วย… )
การตัดสินของศาลเยอรมนีครั้งนี้นับเป็นคำเตือนสำคัญต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลกที่ใช้กลยุทธ์ชดเชยคาร์บอนผ่านโครงการป่าไม้หรือคาร์บอนเครดิต
และส่งผลโดยตรงต่อแผนสิ่งแวดล้อมของ Apple ที่ประกาศไว้ว่าจะเป็นองค์กรคาร์บอนเป็นกลางในปี 2030 หลังลดการปล่อยคาร์บอนไปแล้วมากกว่า 60% เทียบกับปี 2015 ทว่าการพึ่งพาโครงการชดเชยคาร์บอนกลายเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านนโยบาย
อีกทั้ง กระแสกำกับดูแลจากสหภาพยุโรปก็ยิ่งเข้มข้น โดยตั้งแต่กันยายน 2026 จะมีข้อห้ามโฆษณาว่า ‘ผลิตภัณฑ์คาร์บอนเป็นกลาง’ หากยังใช้ระบบเครดิตคาร์บอนเป็นหลัก โดยขาดพิสูจน์ผลลัพธ์ทางสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน
แค่ใช้คำว่า ‘คาร์บอนเป็นกลาง’ ไม่ได้แล้ว Apple ต้องแคร์ขนาดนั้นไหม ?
การที่ Apple ไม่สามารถใช้คำว่า ‘คาร์บอนเป็นกลาง’ ในการโฆษณาสินค้าบางรุ่น อาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับภาพลักษณ์ของ Apple ในระยะสั้น
แต่เมื่อวิเคราะห์ในเชิงผลกระทบเชิงอุตสาหกรรม จะเห็นว่าสถานการณ์นี้มีความสำคัญทั้งต่อ Apple และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยมีเหตุผลและประเด็นดังต่อไปนี้
ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและกลยุทธ์แบรนด์
การถูกห้ามใช้คำว่า ‘คาร์บอนเป็นกลาง’ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ Apple ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีที่มีความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม
Apple พยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นองค์กรที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การที่ศาลตัดสินว่า Apple โฆษณาผิดหรือ ‘greenwashing’
จึงกระทบต่อกลยุทธ์แบรนด์อย่างมาก และทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในคำกล่าวอ้างสิ่งแวดล้อมของบริษัทอื่น ๆ ด้วย
ข้อกฎหมายและแนวโน้มทั่วโลก
ศาลเยอรมนีตัดสินกรณีนี้ตามการแข่งขันทางการค้าและความโปร่งใสในการสื่อสารข้อมูลเท็จ การตัดสินดังกล่าวเป็นตัวอย่างให้ทั่วโลก
โดยเฉพาะยุโรปที่กำลังจะมีข้อบังคับใหม่ ห้ามบริษัทใช้คำอ้างสิ่งแวดล้อมหากไม่มีหลักฐานพิสูจน์จริง
การที่ Apple ต้องถอยจากคำโฆษณาเป็นกลางจะบังคับให้บริษัทอื่น ๆ ทั่วโลกต้องปรับตัว และลงทุนกับวิธีการลดมลพิษจริงแทนการพึ่งพาเครดิตหรือ offset ที่อาจไม่โปร่งใส
ผลกระทบต่อแผนสิ่งแวดล้อมระดับองค์กร
Apple ประกาศเป้าหมายใหญ่ในระดับโลกว่าจะคาร์บอนเป็นกลางทั้งองค์กรภายในปี 2030 กรณีนี้เผยช่องโหว่ของกลยุทธ์
โดยเฉพาะเรื่องโครงการ offset ที่สัญญาณการปลูกป่าในปารากวัยหมดอายุในอีกไม่กี่ปี ไม่ตรงกับเป้าหมายระยะยาว ข้อบังคับนี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการโฆษณา แต่บังคับให้ Apple ต้องทบทวนเนื้อหาทางกลยุทธ์และลงทุนด้านเทคโนโลยี-การผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำจริงอีกครั้ง
นี้จึงเป็นการเน้นให้ผู้บริโภคและธุรกิจไทยรู้ทันกลยุทธ์สีเขียวขององค์กรขนาดใหญ่ ที่ใช้คำว่า คาร์บอนเป็นกลาง ต้องผ่านการพิสูจน์ที่จริงจัง มิใช่แค่คำโฆษณา เพราะโลกกำลังขยับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความโปร่งใสของข้อมูลผลกระทบสู่ระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ
Source : Reuters , Sustainabilitymag , Economic Times










