SIEMENS WinCC
arm ai form robotic incremental forging

ARM Institute เปิดโครงการ AI-FORM พลิกโฉมการตีขึ้นรูปด้วยหุ่นยนต์อัจฉริยะ

Date Post
13.11.2025
Post Views

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 ARM Institute (Advanced Robotics for Manufacturing Institute) ประกาศเปิดโครงการ Adaptive Incremental Forming through Optimized Robotic Manufacturing หรือ AI-FORM ซึ่งเป็นความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพอากาศสหรัฐ (Air Force Research Laboratory – AFRL) โครงการนี้มีมูลค่าทุนสนับสนุนประมาณ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีระยะเวลาดำเนินการยาวนานกว่าโครงการทั่วไปของ ARM Institute ถึง 54 เดือน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2030

วิกฤติของห่วงโซ่อุปทานการตีขึ้นรูป

โครงการ AI-FORM ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ คือความต้องการชิ้นส่วนตีขึ้นรูป (Forged Components) ที่มีคุณภาพสำหรับทุกหน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ชิ้นส่วนขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่พิเศษ ห่วงโซ่อุปทานการตีขึ้นรูปถูกระบุว่าเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของกระทรวงกลาโหมเนื่องจากปัจจัยหลายประการที่มาบรรจบกัน

ปัจจัยแรกคือความต้องการที่มีลักษณะ high-mix low-volume แบบดั้งเดิม หมายความว่ามีความหลากหลายของชิ้นส่วนที่ต้องการมากแต่แต่ละชิ้นส่วนต้องการในปริมาณไม่มาก ทำให้การผลิตไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนในแม่พิมพ์และเครื่องมือที่มีราคาแพง ปัจจัยที่สองคือความสามารถในการผลิตภายในประเทศที่จำกัดสำหรับชิ้นส่วนตีขึ้นรูปคุณภาพระดับการบินและอวกาศ สหรัฐฯ มีโรงงานตีขึ้นรูปขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตชิ้นส่วนคุณภาพสูงเพียงไม่กี่แห่ง และจำนวนนี้กำลังลดลงเรื่อยๆ

ปัจจัยที่สามคือกำลังคนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ช่างตีเหล็กที่มีทักษะสูงเป็นอาชีพที่หายากและมีอายุเฉลี่ยสูง โดยไม่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทดแทนเพียงพอ ปัจจัยสุดท้ายคือความสามารถในการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างรวดเร็วที่จำกัด หากเกิดสงคราม กระทรวงกลาโหมไม่สามารถเพิ่มการผลิตชิ้นส่วนตีขึ้นรูปได้อย่างรวดเร็วเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการในช่วงสงคราม ปัจจัยทั้งหมดนี้นำไปสู่เวลานำ (Lead Time) ที่ยาวนานถึง 36 เดือนสำหรับชิ้นส่วนบางประเภท ส่งผลให้ความพร้อมทางทหารลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

การตีขึ้นรูปแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยหุ่นยนต์

โซลูชันที่โครงการ AI-FORM นำเสนอคือการพัฒนาระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติสำหรับการตีขึ้นรูปแบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental Forming) ของชิ้นส่วนโลหะขนาดใหญ่โดยใช้วิธีแม่พิมพ์เปิด (Open Die Forging) แนวคิดนี้ใช้ความก้าวหน้าด้านระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมสามารถทำหน้าที่เหมือนกับ “ช่างตีเหล็ก” ที่มีทักษะสูง สามารถตัดสินใจและปรับการทำงานแบบเรียลไทม์ตามสภาพของวัสดุที่กำลังขึ้นรูป

การตีขึ้นรูปแบบแม่พิมพ์เปิดเป็นกระบวนการที่ชิ้นงานโลหะถูกวางระหว่างแม่พิมพ์แบนสองชิ้นที่ไม่มีรูปร่างเฉพาะ และถูกตีหรือกดซ้ำหลายครั้งเพื่อขึ้นรูปเป็นรูปร่างที่ต้องการทีละส่วน ข้อได้เปรียบของวิธีนี้คือความยืดหยุ่น เนื่องจากไม่ต้องการแม่พิมพ์ที่มีรูปร่างเฉพาะซึ่งมีราคาแพงและใช้เวลานานในการผลิต หุ่นยนต์สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการตีเพื่อผลิตรูปทรงเรขาคณิตที่หลากหลายด้วยระบบเดียวกัน

ความท้าทายหลักของการตีขึ้นรูปแบบแม่พิมพ์เปิดคือต้องการทักษะและประสบการณ์สูงจากช่างตีเหล็กเพื่อตัดสินใจว่าจะตีที่ตำแหน่งใด ใช้แรงเท่าใด และตีกี่ครั้ง เพื่อให้ได้รูปร่างและคุณสมบัติของวัสดุตามที่ต้องการ โครงการ AI-FORM มุ่งหมายที่จะใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการเรียนรู้ทักษะเหล่านี้จากข้อมูลและประสบการณ์ เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถทำงานได้เทียบเท่าหรือดีกว่าช่างตีเหล็กมนุษย์

ความสามารถของระบบที่คาดหวัง

ความสามารถของระบบจะถูกประเมินจากความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนตีขึ้นรูปที่ต้องการสำหรับหลายหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม รวมถึงกองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ และหน่วยงานโลจิสติกส์กลาโหม (Defense Logistics Agency) ระบบต้องสามารถจัดการกับชิ้นส่วนที่มีขนาด วัสดุ และรูปทรงเรขาคณิตที่หลากหลาย โดยรักษาคุณภาพและคุณสมบัติทางกลของวัสดุที่ต้องการ

นอกจากนี้ ระบบยังต้องสามารถลดเวลานำจาก 36 เดือนลงมาเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน และต้องมีความสามารถในการเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างรวดเร็วเมื่อจำเป็น เนื่องจากไม่ต้องการแม่พิมพ์เฉพาะทาง หากมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน สามารถเพิ่มจำนวนหุ่นยนต์และทำงาน 24 ชั่วโมงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตได้

บทบาทของ ARM Institute

ARM Institute เป็นสถาบันนวัตกรรมการผลิตที่ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ มีภารกิจในการพัฒนาและนำเสนอเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการผลิตในสหรัฐและความมั่นคงของฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ARM Institute ดำเนินการนี้ผ่านการเรียกรับข้อเสนอโครงการ (Project Calls) ที่กระตุ้นความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม รัฐบาล และสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างโซลูชันด้านหุ่นยนต์และ AI ที่จำเป็นอย่างเร่งด่วน

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2025 เพียงช่วงเดียว ARM Institute ได้ออก Project Call สามฉบับซึ่งนำไปสู่การมอบทุนประมาณ 4.5 ล้านดอลลาร์ให้กับสมาชิกของ ARM Institute จนถึงปัจจุบัน ARM Institute ได้สนับสนุนโครงการด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และการพัฒนากำลังคนมากกว่า 150 โครงการ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่กว้างขวางของสถาบันต่อระบบนิเวศการผลิตขั้นสูงของสหรัฐ

Dr. Chuck Brandt หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ ARM Institute กล่าวว่า “Project Call นี้แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครของ ARM Institute ในการกระตุ้นโซลูชันด้านหุ่นยนต์ AI และระบบอัตโนมัติอย่างรวดเร็วเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการผลิตในสหรัฐ ทำให้ Organic Industrial Base ทันสมัย และสร้างความยืดหยุ่นของชาติที่มากขึ้น คอนซอร์เซียมระดับชาติของผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมที่จะร่วมมือและดำเนินการตามลำดับความสำคัญที่สำคัญของการป้องกันประเทศและอุตสาหกรรม”

ไทม์ไลน์และการมีส่วนร่วม

ข้อเสนอโครงการสำหรับ AI-FORM จะต้องส่งภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2025 เวลา 17:00 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐ และต้องส่งผ่าน ARM Member Community แม้ว่า Project Call จะเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่เฉพาะสมาชิกของ ARM Institute เท่านั้นที่สามารถส่งข้อเสนอได้ ระยะเวลาดำเนินการของโครงการประมาณ 54 เดือน ซึ่งยาวกว่า Project Call ทั่วไปของ ARM Institute โดยโครงการจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2030​

ARM Institute ได้จัดการสัมมนาผ่านเว็บสาธารณะเพื่อสนับสนุน Project Call นี้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2025 โดยมีการบันทึกการสัมมนาไว้สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้ นี่เป็นหนึ่งในประมาณห้า Project Calls ที่ ARM Institute คาดว่าจะออกระหว่างเดือนตุลาคม 2025 และมกราคม 2026 แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของสถาบันในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของอุตสาหกรรมและการป้องกันประเทศ

เหตุใดการตีขึ้นรูปด้วยหุ่นยนต์จึงเป็นโซลูชันที่สำคัญต่อความมั่นคง และอะไร ?

มิติความมั่นคงของชาติ

ชิ้นส่วนตีขึ้นรูปมีบทบาทสำคัญต่ออุปกรณ์ทหารเกือบทุกประเภท ตั้งแต่ชิ้นส่วนโครงสร้างของเครื่องบิน ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ เพลาขับเคลื่อนของเรือดำน้ำและเรือรบ ไปจนถึงชิ้นส่วนของรถถังและยานเกราะต่างๆ การตีขึ้นรูปเป็นกระบวนการที่ทำให้โลหะมีความแข็งแรงและคุณสมบัติทางกลที่เหนือกว่าวิธีการผลิตอื่นๆ เช่น การหล่อหรือการตัดเฉือนจากบล็อกโลหะ เนื่องจากการตีทำให้เกิดการปรับเรียงโครงสร้างเม็ดผลึกของโลหะ (Grain Flow) และกำจัดรูพรุนภายในที่อาจเกิดขึ้นจากการหล่อ

การที่สหรัฐพึ่งพาความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนตีขึ้นรูปที่จำกัดและมีเวลานำยาวนานถึง 36 เดือนสร้างความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์หลายประการ ประการแรก หากเกิดสงครามหรือความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ กระทรวงกลาโหมอาจไม่สามารถทดแทนหรือซ่อมแซมอุปกรณ์ทหารได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ เนื่องจากต้องรอการผลิตชิ้นส่วนตีขึ้นรูปที่จำเป็น ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี สถานการณ์นี้เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้ในยุคที่ความตึงเครียดระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น

ประการที่สอง การพึ่งพาผู้ผลิตไม่กี่รายสร้างจุดอ่อนแบบ single point of failure หากโรงงานใดโรงงานหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือถูกโจมตีทางกายภาพในช่วงความขัดแย้ง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความสามารถในการผลิตอุปกรณ์ทหารทั้งหมด การกระจายความสามารถในการผลิตผ่านระบบหุ่นยนต์ที่สามารถติดตั้งในหลายสถานที่ทั่วประเทศช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงนี้ลงอย่างมีนัยสำคัญ

ประการที่สาม ปัญหากำลังคนที่ลดลงไม่ใช่ปัญหาระยะสั้นที่สามารถแก้ไขได้ง่าย การฝึกช่างตีเหล็กที่มีทักษะสูงใช้เวลาหลายปีถึงทศวรรษ และในขณะที่ช่างเชี่ยวชาญรุ่นเก่ากำลังเกษียณอายุ ไม่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทดแทนเพียงพอ เนื่องจากอาชีพนี้ต้องการความพยายามทางกายภาพสูง สภาพแวดล้อมการทำงานที่ยากลำบาก และต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้ การพัฒนาระบบหุ่นยนต์ที่สามารถจับความรู้และทักษะของช่างเชี่ยวชาญเหล่านี้ไว้ในรูปของอัลกอริทึม AI ช่วยรักษาความสามารถนี้ไว้สำหรับอนาคต แม้ว่าช่างมนุษย์จะหมดไป

ความท้าทายทางเทคนิคหลัก

การพัฒนาระบบหุ่นยนต์ที่สามารถทำการตีขึ้นรูปแบบแม่พิมพ์เปิดได้มีความท้าทายทางเทคนิคที่ซับซ้อนมาก ความท้าทายแรกคือการรับรู้และตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ในการตีขึ้นรูปแบบแม่พิมพ์เปิด ช่างตีเหล็กต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงของชิ้นงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรูปร่าง ขนาด อุณหภูมิ สี และพฤติกรรมของวัสดุเมื่อถูกตี เพื่อตัดสินใจว่าจะตีที่ตำแหน่งใดต่อไป การพัฒนาระบบเซ็นเซอร์และวิชั่นที่สามารถรับรู้ข้อมูลเหล่านี้อย่างแม่นยำ และระบบ AI ที่สามารถประมวลผลและตัดสินใจได้เร็วพอเป็นความท้าทายที่สำคัญ

ความท้าทายที่สองคือการควบคุมแรงและตำแหน่งอย่างแม่นยำ การตีขึ้นรูปต้องการการควบคุมแรงที่แม่นยำมาก หากใช้แรงมากเกินไปอาจทำให้วัสดุแตกหรือเกิดข้อบกพร่อง หากใช้แรงน้อยเกินไปอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ นอกจากนี้ ตำแหน่งที่แม่นยำในระดับมิลลิเมตรหรือดีกว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างรูปทรงที่ซับซ้อน การพัฒนาระบบหุ่นยนต์ที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะใช้แรงสูงที่จำเป็นสำหรับการตีโลหะขนาดใหญ่ แต่ก็มีความแม่นยำเพียงพอสำหรับการควบคุมตำแหน่งและแรงอย่างละเอียดเป็นความท้าทายด้านวิศวกรรมที่ซับซ้อน

ความท้าทายที่สามคือการจำลองและคาดการณ์พฤติกรรมของวัสดุ โลหะต่างชนิดและแม้แต่โลหะชนิดเดียวกันจากผู้ผลิตต่างกันอาจมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันเมื่อถูกตีขึ้นรูป ปัจจัยเช่นองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างเล็กน้อย จุลโครงสร้างเริ่มต้น และประวัติการผลิตของวัสดุล้วนส่งผลต่อว่าวัสดุจะตอบสนองต่อการตีอย่างไร การพัฒนาแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถคาดการณ์พฤติกรรมเหล่านี้อย่างแม่นยำเพื่อช่วยในการวางแผนกระบวนการตีเป็นงานวิจัยที่ซับซ้อนซึ่งต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งทางฟิสิกส์ของวัสดุและวิทยาศาสตร์การคำนวณ

ความท้าทายที่สี่คือการจัดการกับความไม่แน่นอนและความแปรปรวน ในสภาพแวดล้อมการผลิตจริง มีความแปรปรวนมากมายที่ AI ต้องจัดการ เช่น ชิ้นงานเริ่มต้นที่มีขนาดหรือรูปร่างแตกต่างกันเล็กน้อย อุณหภูมิที่ไม่สม่ำเสมอ การสึกหรอของเครื่องมือ หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ระบบ AI ต้องมีความแข็งแกร่ง (Robust) เพียงพอที่จะจัดการกับความแปรปรวนเหล่านี้และยังคงผลิตชิ้นส่วนที่มีคุณภาพตามที่ต้องการได้อย่างสม่ำเสมอ

การถ่ายทอดความรู้จากมนุษย์สู่เครื่องจักร

หนึ่งในความท้าทายที่น่าสนใจที่สุดคือการถ่ายทอดความรู้โดยนัยหรือ Tacit Knowledge จากช่างตีเหล็กที่มีประสบการณ์สู่ระบบ AI ความรู้ประเภทนี้เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์และสัญชาตญาณ ซึ่งยากที่จะอธิบายหรือเขียนเป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น ช่างตีเหล็กอาจบอกได้จากเสียงของการตี ความรู้สึกของการสั่นสะเทือน หรือการเปลี่ยนแปลงของสีของโลหะว่าชิ้นงานอยู่ในสภาพที่เหมาะสมหรือไม่

การจับความรู้เหล่านี้ต้องการแนวทางที่รวมหลายวิธี เช่น การใช้ Machine Learning เพื่อเรียนรู้จากการสังเกตช่างเชี่ยวชาญทำงาน การใช้เซ็นเซอร์ที่หลากหลายเพื่อจับข้อมูลที่ช่างใช้ในการตัดสินใจ และการทำ Reinforcement Learning ที่ให้หุ่นยนต์เรียนรู้ผ่านการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้การควบคุม อาจต้องใช้เวลาหลายปีและข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาระบบ AI ที่สามารถเทียบเท่าความสามารถของช่างเชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์หลายทศวรรษ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

หากโครงการ AI-FORM ประสบความสำเร็จ ผลกระทบจะไปไกลกว่าแค่ความมั่นคงของชาติ ในด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยีนี้สามารถฟื้นฟูอุตสาหกรรมการตีขึ้นรูปของสหรัฐซึ่งกำลังตกต่ำมาหลายทศวรรษ การที่สามารถผลิตชิ้นส่วนตีขึ้นรูปได้เร็วขึ้นและมีต้นทุนต่ำลง จะทำให้ผู้ผลิตสหรัฐสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ดีขึ้น และอาจนำงานที่เคยถูกส่งไปผลิตต่างประเทศกลับมาผลิตในสหรัฐ

นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมพลเรือน เช่น การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร อุปกรณ์การก่อสร้าง และอื่นๆ การลดเวลานำและต้นทุนของการผลิตชิ้นส่วนตีขึ้นรูปจะมีผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะสำหรับผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กที่ในอดีตไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการตีขึ้นรูปได้เนื่องจากต้นทุนและความซับซ้อน

ในด้านสังคม แม้ว่าอาจมีความกังวลเกี่ยวกับการที่หุ่นยนต์จะแทนที่งานของมนุษย์ แต่ในกรณีของการตีขึ้นรูป ปัญหาหลักคือการขาดแคลนแรงงาน ไม่ใช่การมีแรงงานล้นตลาด การพัฒนาระบบหุ่นยนต์นี้จะช่วยรักษาความสามารถในการผลิตไว้ และอาจสร้างงานใหม่ในด้านการเขียนโปรแกรม การบำรุงรักษา และการดูแลระบบหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นงานที่ปลอดภัยกว่าและต้องการทักษะในศตวรรษที่ 21 มากกว่างานตีเหล็กแบบดั้งเดิมที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและปัญหาสุขภาพจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่รุนแรง

โครงการ AI-FORM แสดงถึงความพยายามอย่างจริงจังของสหรัฐในการแก้ไขจุดอ่อนที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทานการป้องกันประเทศผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง แม้ว่าจะมีความท้าทายทางเทคนิคที่ซับซ้อนมากมาย แต่ศักยภาพในการสร้างความมั่นคงของชาติที่เพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตทำให้โครงการนี้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ความสำเร็จของโครงการนี้จะไม่เพียงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของการผลิตชิ้นส่วนตีขึ้นรูป แต่ยังอาจเป็นแบบอย่างสำหรับการนำระบบอัตโนมัติและ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนอื่นๆ ที่ต้องการทักษะสูงและกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน สร้างเส้นทางสู่อนาคตของการผลิตสมัยใหม่ที่ผสมผสานความเข้มแข็งของมนุษย์และเครื่องจักรเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน


Key Summary Points

  • ARM Institute + AFRL เปิดโครงการ AI-FORM พัฒนาการตีขึ้นรูปแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยหุ่นยนต์อัจฉริยะ (open-die incremental forming) ทุนราว 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ระยะเวลา 54 เดือน สิ้นสุด ก.ย. 2030
  • แก้คอขวด ห่วงโซ่อุปทานการตีขึ้นรูป งาน high-mix/low-volume, กำลังการผลิตภายในประเทศจำกัด, แรงงานช่างตีเหล็กขาดแคลน, เพิ่มกำลังผลิตฉับพลันไม่ได้ lead time บางชิ้นสูงถึง 36 เดือน
  • หุ่นยนต์ + AI ทำหน้าที่เสมือน ‘ช่างตีเหล็ก’ ปรับแรง/ตำแหน่ง/จำนวนครั้ง แบบเรียลไทม์ ไม่ต้องใช้แม่พิมพ์เฉพาะ ลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นของรูปทรง
  • ผลิตชิ้นส่วนหลากหลาย ขนาด/วัสดุ/เรขาคณิต คุณภาพระดับการบิน-กลาโหม ลด lead time เหลือไม่กี่สัปดาห์–เดือน และ สเกลกำลังผลิต ได้ด้วยการเพิ่มจำนวนหุ่นยนต์
  • การรับรู้–ตัดสินใจแบบเรียลไทม์, ควบคุมแรง/ตำแหน่งความแม่นยำสูง, แบบจำลองพฤติกรรมวัสดุ, จัดการความแปรปรวน, และการจับ Tacit Knowledge จากช่างผู้เชี่ยวชาญ
  • เสริม ความมั่นคงชาติ และความยืดหยุ่นซัพพลายเชน, ฟื้นอุตสาหกรรมตีขึ้นรูปสหรัฐฯ ขยายสู่ภาคพลเรือน, สร้างงานสายหุ่นยนต์/ซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและทันสมัยกว่า


Source : arminstitute , manufacturingusa

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม