นักการตลาดแบบ B2C (Business-to-Consumer) และ B2B (Business-to-Business) นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ประโยชน์อย่างไร และทิศทางในอนาคตจะเป็นเช่นไร ผู้เขียนบทความต้นฉบับอย่าง Kolawole Samuel Adebayo ได้ให้ข้อมูลว่าประสบการณ์ในการทำงานทั้งในด้านการตลาด B2B และ B2C ทำให้เขาได้เห็นวิธีการทำงานทางการตลาดในแนวทางที่แตกต่างกันอย่างใกล้ชิด
แต่ในปัจจุบันทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วด้วยอิทธิพลของ AI ข้อมูลเหล่านี้อ้างอิงจากการสังเกตของผู้เขียนและข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก รายงานสถานะ AI ในการตลาดปี 2025 (State of AI in Marketing 2025 report) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่เผยให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ กำลังลงทุนในการเข้าถึงเครื่องมือ AI อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจในรูปแบบใดหรืออุตสาหกรรมใดก็ตาม
การใช้ AI สำหรับการสร้างสรรค์เนื้อหา B2C และ B2B แตกต่างกันอย่างไร
แม้ว่ากรณีการใช้งาน AI จะมีความหลากหลายอย่างมาก แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ AI แทบจะกลายเป็นคำพ้องกับ ‘การสร้างเนื้อหา’ ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม วิธีที่ AI แสดงบทบาทในบริบทของ B2C และ B2B นั้น เผยให้เห็นทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่างที่ละเอียดอ่อน ซึ่งข้อมูลจากรายงานได้ตอกย้ำประเด็นนี้
การประกันคุณภาพและการเขียนคำโฆษณา
หนึ่งในกรณีการใช้งานที่ถูกนำมาปรับใช้มากที่สุดในทั้งสองรูปแบบการขายคือ การประกันคุณภาพเนื้อหา ตามการสำรวจ 53.87% ของนักการตลาดระบุว่าใช้ AI สำหรับงานต่างๆ เช่น การตรวจการสะกด การปรับโทนเสียง การตรวจสอบการเข้าถึง และการให้คำแนะนำในการเขียน ซึ่งงานเหล่านี้เป็นงานที่มักจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสร้างเนื้อหา
นอกจากนี้ การเขียนคำโฆษณา ยังเป็นกรณีการใช้งานที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง โดยมีนักการตลาดมากกว่าครึ่งที่ใช้ AI ในการเขียนเนื้อหา แม้เป้าหมายด้านเนื้อหาจะแตกต่างกัน แต่ทั้งนักการตลาด B2B และ B2C ต่างพึ่งพาการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างมาก
สำหรับทีม B2C มักจะหันมาใช้ AI เมื่อมีความต้องการในการเขียนปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องผลิตเนื้อหาจำนวนมากในหลายช่องทางอย่างรวดเร็ว
สำหรับทีม B2B ซึ่งเนื้อหามักจะต้องมีความละเอียดและเชิงเทคนิคมากกว่า มักจะใช้ AI เพื่อช่วยในเรื่องของโครงสร้างมากกว่าความเร็ว AI จึงมีความเกี่ยวข้องกับการสร้างเค้าโครง การจัดระเบียบแนวคิด และบางครั้งก็ใช้เพื่อผลิตร่างแรกที่แข็งแรง
การสร้างภาพและการสรุปข้อความ
เนื้อหาภาพ (Visual content) ก็เป็นอีกด้านที่ AI เข้ามาสนับสนุน โดยมีนักการตลาดเกือบครึ่งทั้งใน B2C และ B2B ระบุว่าใช้ AI ในการสร้างภาพเพื่อการตลาด ในส่วนนี้ B2C เป็นผู้นำเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากแบรนด์ B2C มักจะพึ่งพาภาพที่ดึงดูดความสนใจอย่างมากสำหรับโซเชียลมีเดีย โฆษณาดิจิทัล และการเล่าเรื่องแบรนด์ มากกว่าคู่ค้า B2B
ในด้านการจัดการข้อมูล นักการตลาดประมาณ 40% ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อย่อยเนื้อหาที่ซับซ้อนให้กลายเป็นประเด็นสำคัญ สำหรับ B2C นี่คือทางลัดในการสร้างคำบรรยายที่น่าสนใจ เรื่องราว หรือเนื้อหาสั้น ๆ สำหรับจดหมายข่าว ส่วน B2B ใช้ AI เพื่อเปลี่ยนเนื้อหายาวๆ เช่น รายงาน หรือบทถอดเสียงจากการสัมมนาผ่านเว็บ ให้เป็นบทสรุป หรือบันทึกสำหรับผู้บริหาร
การปรับปรุงเนื้อหาและการแปลภาษา
การนำเนื้อหามาใช้ซ้ำโดยปรับเปลี่ยนตามรูปแบบและกลุ่มเป้าหมาย เป็นอีกพื้นที่ที่ AI โดดเด่น นักการตลาดเกือบ 40% ใช้ AI เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับผู้ชมที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนบล็อกเกี่ยวกับเทรนด์แฟชั่นชายให้เป็นบล็อกที่เหมาะกับความต้องการด้านสไตล์ของผู้หญิง โดยที่ข้อความหลักยังคงเดิม แต่ภาษา โทนเสียง และจุดเน้นถูกปรับให้เข้ากับผู้อ่านกลุ่มใหม่
สำหรับการรณรงค์ระดับโลก 35% ของนักการตลาดที่สำรวจใช้ AI ในการขยายเนื้อหาข้ามภาษา ได้เร็วกว่าขั้นตอนการทำงานแบบดั้งเดิม แบรนด์ B2C โดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซ ใช้สิ่งนี้เพื่อแปลหน้าผลิตภัณฑ์ โฆษณา และเอกสารช่วยเหลือ ในขณะที่ทีม B2B ก็นำไปใช้กับหน้า Landing Page ระหว่างประเทศ กรณีศึกษา หรือเนื้อหาการศึกษาผลิตภัณฑ์
เครื่องมือ AI ยอดนิยมที่นักการตลาดนำมาใช้
เมื่อสอบถามนักการตลาดถึงทรัพยากรที่องค์กรจัดหาให้เพื่อสนับสนุนการนำ AI มาใช้ คำตอบที่พบบ่อยที่สุดคือการสมัครสมาชิกเครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI นี่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็น B2B หรือ B2C องค์กรต่างลงทุนเพื่อให้เข้าถึงเครื่องมือเหล่านี้
หมวดหมู่เครื่องมือที่ถูกใช้งานมากที่สุด โดยนักการตลาดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่:
- เครื่องมือสร้างภาพหรือออกแบบ (Image or Design Generators) หมวดหมู่นี้ถูกใช้โดยนักการตลาดกว่า 40% ทีม B2C นำหน้าเล็กน้อยในส่วนนี้ เนื่องจากมีการพึ่งพาการเล่าเรื่องด้วยภาพมากกว่า เครื่องมืออย่าง DALL-E, Canva AI และ Midjourney ช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างภาพใหม่ทั้งหมดจากข้อความแจ้ง (text prompts) หรือสร้างภาพสำหรับแคมเปญโฆษณา
- แชตบอทอเนกประสงค์ (General Purpose Chatbots) เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง แชตบอทเหล่านี้ เช่น ChatGPT, Google Gemini และ Microsoft Copilot สามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย ตั้งแต่การระดมสมอง การวางโครงร่าง การเขียน การสรุป ไปจนถึงการตอบคำถามงานวิจัย
- เครื่องมือแก้ไขวิดีโอและเสียง AI อัจฉริยะ (Smart AI Video and Audio Editing Tools) วิดีโอคอนเทนต์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิทัล โดยนักการตลาด 36% ใช้เครื่องมืออย่าง Descript, Runway, Pictory, และ Wisecut เพื่อแก้ไขเนื้อหา นักการตลาด B2C เป็นผู้นำ B2B ในการใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อลบคำพูดที่ไม่จำเป็น เพิ่มคำบรรยาย ทำความสะอาดเสียง แก้ไขแสง หรือแม้แต่นำวิดีโอยาวๆ มาตัดเป็นคลิปสั้นๆ
- เครื่องมือสร้างเสียงและคำบรรยาย (Voice and Narration Generators) เครื่องมือเหล่านี้ เช่น Murf, Speechify, และ Play.ht ช่วยให้นักการตลาดสร้างเสียงบรรยายที่ฟังดูเหมือนมนุษย์ ในภาษา โทน และสไตล์ที่แตกต่างกัน เสียงที่สร้างขึ้นสามารถนำไปใช้ในการผลิตโฆษณาวิดีโอ วิดีโออธิบายสำหรับโซเชียล หรือแม้แต่เนื้อหาเสียงสำหรับแอปพลิเคชัน การนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโมดูลการฝึกอบรม
- เครื่องมือแก้ไขภาพอัจฉริยะ (Smart Image Editing Tools) นักการตลาดกว่า 30% ทั้งใน B2C และ B2B ใช้เครื่องมือแก้ไขภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น Photoshop, Fotor AI และ Luminar เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการปรับปรุง ตกแต่ง ปรับขนาด หรือลบพื้นหลังโดยอัตโนมัติ ทำให้ภาพถ่ายสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็ว
ทัศนคติของผู้นำ B2C และ B2B ต่อ AI
การใช้งานเครื่องมือ AI อาจเป็นหน้าที่ของนักการตลาด แต่ทัศนคติของผู้นำองค์กรต่างหากที่บ่งชี้ถึงการนำ AI มาใช้ในระยะยาว
เมื่อสอบถามผู้นำว่าอะไรคือปัจจัยขับเคลื่อนการนำ AI มาใช้ คำตอบหลักๆ คือ การควบคุมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลที่ดีขึ้น (23%) ตามมาด้วย ความสามารถในการปรับแต่ง AI ให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจ (22%) และ การประหยัดต้นทุน (20%) ลำดับความสำคัญเหล่านี้มีความสม่ำเสมอในทั้งแบรนด์ B2C และ B2B ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้นำต้องการนำ AI มาใกล้ชิดกับแกนหลักของการดำเนินงานมากขึ้น
ผู้นำประมาณ 35% เห็นด้วยในระดับหนึ่งว่า AI จะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาสามารถขยายขนาดในลักษณะที่ไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีอื่น นี่ถือเป็นความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง แต่สิ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนยิ่งกว่าคือ คำตอบที่พบบ่อยเป็นอันดับสองคือ ความเป็นกลาง โดยเกือบ 29% ไม่เห็นด้วยและไม่ปฏิเสธ ซึ่งสะท้อนว่าผู้นำส่วนใหญ่อยู่ในสถานะที่ “สนใจแต่ยังคงจับตาดูอย่างใกล้ชิด” นอกจากนี้ ผู้นำมากกว่าหนึ่งในสามเห็นด้วยในระดับหนึ่งว่า AI จะสามารถเทียบเคียงการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตของมนุษย์ ทว่าเกือบ 27% ยังคงแสดงความเป็นกลางในประเด็นนี้
ประเด็นที่ผู้นำเห็นพ้องต้องกันมากที่สุดคือ การพึ่งพา AI มากเกินไปถือเป็นสัญญาณอันตราย ผู้นำส่วนใหญ่ (65%) เห็นด้วยว่า AI ควรถูกใช้ในบทบาทของพนักงาน แต่ไม่ควรทำให้พวกเขาต้องพึ่งพามันมากเกินไป นี่สะท้อนถึงความเคารพต่อความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และการคิดเชิงวิพากษ์ แม้จะมีคุณค่าในการทำงานซ้ำ ๆ โดยอัตโนมัติ แต่ทักษะหลักที่ทำให้การตลาดประสบความสำเร็จไม่ควรถูกมอบหมายให้ AI ทำทั้งหมด
ในด้าน ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ผู้นำส่วนใหญ่อธิบายว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนด้าน AI นั้น “เป็นบวกในระดับหนึ่ง” โดยประมาณ 43% เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ แต่มีเพียงประมาณหนึ่งในสามเท่านั้นที่เห็นผลตอบแทน “เป็นบวกอย่างมาก” สิ่งนี้สอดคล้องกับวิธีการที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้ AI คือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เร่งความเร็วในการสร้างเนื้อหา หรือปลดล็อกประสิทธิภาพขนาดเล็ก โดยสรุปแล้ว ผู้นำยังคงลงทุนใน AI แต่ก็ยังไม่มีใครเดิมพันทั้งหมดกับเทคโนโลยีนี้ในทันที
B2C หรือ B2B ใครปรับใช้ AI ได้เร็วกว่ากัน?
หากคาดหวังว่าจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง B2C และ B2B ในด้านการนำ AI มาใช้ ข้อมูลไม่ได้แสดงให้เห็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้อมูลและการพูดคุยกับนักการตลาดเผยให้เห็นคือ ทั้งสองฝ่ายต่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและในลักษณะที่น่าประหลาดใจ
ข้อมูลระบุว่า 91% ของทีมการตลาดใช้ AI ในบางส่วน และสัดส่วนระหว่าง B2C และ B2B นั้นเกือบเท่ากัน ในด้านทัศนคติของพนักงานก็เช่นกัน นักการตลาดกว่าครึ่งอธิบายว่าทีมของพวกเขา “กระตือรือร้น” ที่จะใช้ AI โดยที่ B2C และ B2B มีอัตราใกล้เคียงกัน
แม้กระทั่งเมื่อสอบถามผู้นำเกี่ยวกับการลงทุนในเครื่องมือ AI ในอนาคต สองในสามของทีมวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้าน AI ในปี 2025 และมีจำนวนที่ใกล้เคียงกันมากจากทั้งสองฝ่าย Kolawole Samuel Adebayo ผู้เขียนบทความต้นฉบับได้กล่าวสรุปไว้ว่า แม้ B2C และ B2B อาจใช้ AI สำหรับงานที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่เมื่อพูดถึงความเร็วในการนำไปใช้ พวกเขากำลังอยู่ในเส้นทางเดียวกันและเร่งความเร็วไปพร้อมกัน
ข้อสรุปที่สำคัญที่สุดคือ AI ไม่ได้เป็นของนักการตลาดประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนรายงานทางเทคนิคสำหรับองค์กร หรือการผลิตวิดีโอผลิตภัณฑ์ที่แพร่หลาย เป้าหมายหลักก็คือการสร้างสรรค์มากขึ้น ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และรักษาความเกี่ยวข้องไว้ นักการตลาดจึงใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้อย่างชาญฉลาด
source : hubspot










