SIEMENS WinCC
IDA Project
b2c and b2b marketing ai 2025

การตลาด B2C และ B2B กับบทบาทของ AI 

Date Post
01.10.2025
Post Views

นักการตลาดแบบ B2C (Business-to-Consumer) และ B2B (Business-to-Business) นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ประโยชน์อย่างไร และทิศทางในอนาคตจะเป็นเช่นไร ผู้เขียนบทความต้นฉบับอย่าง Kolawole Samuel Adebayo ได้ให้ข้อมูลว่าประสบการณ์ในการทำงานทั้งในด้านการตลาด B2B และ B2C ทำให้เขาได้เห็นวิธีการทำงานทางการตลาดในแนวทางที่แตกต่างกันอย่างใกล้ชิด 

แต่ในปัจจุบันทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วด้วยอิทธิพลของ AI ข้อมูลเหล่านี้อ้างอิงจากการสังเกตของผู้เขียนและข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก รายงานสถานะ AI ในการตลาดปี 2025 (State of AI in Marketing 2025 report) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่เผยให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ กำลังลงทุนในการเข้าถึงเครื่องมือ AI อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจในรูปแบบใดหรืออุตสาหกรรมใดก็ตาม

การใช้ AI สำหรับการสร้างสรรค์เนื้อหา B2C และ B2B แตกต่างกันอย่างไร

แม้ว่ากรณีการใช้งาน AI จะมีความหลากหลายอย่างมาก แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ AI แทบจะกลายเป็นคำพ้องกับ ‘การสร้างเนื้อหา’ ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม วิธีที่ AI แสดงบทบาทในบริบทของ B2C และ B2B นั้น เผยให้เห็นทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่างที่ละเอียดอ่อน ซึ่งข้อมูลจากรายงานได้ตอกย้ำประเด็นนี้

การประกันคุณภาพและการเขียนคำโฆษณา

หนึ่งในกรณีการใช้งานที่ถูกนำมาปรับใช้มากที่สุดในทั้งสองรูปแบบการขายคือ การประกันคุณภาพเนื้อหา ตามการสำรวจ 53.87% ของนักการตลาดระบุว่าใช้ AI สำหรับงานต่างๆ เช่น การตรวจการสะกด การปรับโทนเสียง การตรวจสอบการเข้าถึง และการให้คำแนะนำในการเขียน ซึ่งงานเหล่านี้เป็นงานที่มักจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสร้างเนื้อหา

นอกจากนี้ การเขียนคำโฆษณา ยังเป็นกรณีการใช้งานที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง โดยมีนักการตลาดมากกว่าครึ่งที่ใช้ AI ในการเขียนเนื้อหา แม้เป้าหมายด้านเนื้อหาจะแตกต่างกัน แต่ทั้งนักการตลาด B2B และ B2C ต่างพึ่งพาการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างมาก

สำหรับทีม B2C มักจะหันมาใช้ AI เมื่อมีความต้องการในการเขียนปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องผลิตเนื้อหาจำนวนมากในหลายช่องทางอย่างรวดเร็ว

สำหรับทีม B2B ซึ่งเนื้อหามักจะต้องมีความละเอียดและเชิงเทคนิคมากกว่า มักจะใช้ AI เพื่อช่วยในเรื่องของโครงสร้างมากกว่าความเร็ว AI จึงมีความเกี่ยวข้องกับการสร้างเค้าโครง การจัดระเบียบแนวคิด และบางครั้งก็ใช้เพื่อผลิตร่างแรกที่แข็งแรง

การสร้างภาพและการสรุปข้อความ

เนื้อหาภาพ (Visual content) ก็เป็นอีกด้านที่ AI เข้ามาสนับสนุน โดยมีนักการตลาดเกือบครึ่งทั้งใน B2C และ B2B ระบุว่าใช้ AI ในการสร้างภาพเพื่อการตลาด ในส่วนนี้ B2C เป็นผู้นำเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากแบรนด์ B2C มักจะพึ่งพาภาพที่ดึงดูดความสนใจอย่างมากสำหรับโซเชียลมีเดีย โฆษณาดิจิทัล และการเล่าเรื่องแบรนด์ มากกว่าคู่ค้า B2B

ในด้านการจัดการข้อมูล นักการตลาดประมาณ 40% ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อย่อยเนื้อหาที่ซับซ้อนให้กลายเป็นประเด็นสำคัญ สำหรับ B2C นี่คือทางลัดในการสร้างคำบรรยายที่น่าสนใจ เรื่องราว หรือเนื้อหาสั้น ๆ สำหรับจดหมายข่าว ส่วน B2B ใช้ AI เพื่อเปลี่ยนเนื้อหายาวๆ เช่น รายงาน หรือบทถอดเสียงจากการสัมมนาผ่านเว็บ ให้เป็นบทสรุป หรือบันทึกสำหรับผู้บริหาร

การปรับปรุงเนื้อหาและการแปลภาษา

การนำเนื้อหามาใช้ซ้ำโดยปรับเปลี่ยนตามรูปแบบและกลุ่มเป้าหมาย เป็นอีกพื้นที่ที่ AI โดดเด่น นักการตลาดเกือบ 40% ใช้ AI เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับผู้ชมที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนบล็อกเกี่ยวกับเทรนด์แฟชั่นชายให้เป็นบล็อกที่เหมาะกับความต้องการด้านสไตล์ของผู้หญิง โดยที่ข้อความหลักยังคงเดิม แต่ภาษา โทนเสียง และจุดเน้นถูกปรับให้เข้ากับผู้อ่านกลุ่มใหม่

สำหรับการรณรงค์ระดับโลก 35% ของนักการตลาดที่สำรวจใช้ AI ในการขยายเนื้อหาข้ามภาษา ได้เร็วกว่าขั้นตอนการทำงานแบบดั้งเดิม แบรนด์ B2C โดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซ ใช้สิ่งนี้เพื่อแปลหน้าผลิตภัณฑ์ โฆษณา และเอกสารช่วยเหลือ ในขณะที่ทีม B2B ก็นำไปใช้กับหน้า Landing Page ระหว่างประเทศ กรณีศึกษา หรือเนื้อหาการศึกษาผลิตภัณฑ์

เครื่องมือ AI ยอดนิยมที่นักการตลาดนำมาใช้

เมื่อสอบถามนักการตลาดถึงทรัพยากรที่องค์กรจัดหาให้เพื่อสนับสนุนการนำ AI มาใช้ คำตอบที่พบบ่อยที่สุดคือการสมัครสมาชิกเครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI นี่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็น B2B หรือ B2C องค์กรต่างลงทุนเพื่อให้เข้าถึงเครื่องมือเหล่านี้

หมวดหมู่เครื่องมือที่ถูกใช้งานมากที่สุด โดยนักการตลาดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่:

  1. เครื่องมือสร้างภาพหรือออกแบบ (Image or Design Generators) หมวดหมู่นี้ถูกใช้โดยนักการตลาดกว่า 40% ทีม B2C นำหน้าเล็กน้อยในส่วนนี้ เนื่องจากมีการพึ่งพาการเล่าเรื่องด้วยภาพมากกว่า เครื่องมืออย่าง DALL-E, Canva AI และ Midjourney ช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างภาพใหม่ทั้งหมดจากข้อความแจ้ง (text prompts) หรือสร้างภาพสำหรับแคมเปญโฆษณา
  2. แชตบอทอเนกประสงค์ (General Purpose Chatbots) เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง แชตบอทเหล่านี้ เช่น ChatGPT, Google Gemini และ Microsoft Copilot สามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย ตั้งแต่การระดมสมอง การวางโครงร่าง การเขียน การสรุป ไปจนถึงการตอบคำถามงานวิจัย
  3. เครื่องมือแก้ไขวิดีโอและเสียง AI อัจฉริยะ (Smart AI Video and Audio Editing Tools) วิดีโอคอนเทนต์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิทัล โดยนักการตลาด 36% ใช้เครื่องมืออย่าง Descript, Runway, Pictory, และ Wisecut เพื่อแก้ไขเนื้อหา นักการตลาด B2C เป็นผู้นำ B2B ในการใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อลบคำพูดที่ไม่จำเป็น เพิ่มคำบรรยาย ทำความสะอาดเสียง แก้ไขแสง หรือแม้แต่นำวิดีโอยาวๆ มาตัดเป็นคลิปสั้นๆ
  4. เครื่องมือสร้างเสียงและคำบรรยาย (Voice and Narration Generators) เครื่องมือเหล่านี้ เช่น Murf, Speechify, และ Play.ht ช่วยให้นักการตลาดสร้างเสียงบรรยายที่ฟังดูเหมือนมนุษย์ ในภาษา โทน และสไตล์ที่แตกต่างกัน เสียงที่สร้างขึ้นสามารถนำไปใช้ในการผลิตโฆษณาวิดีโอ วิดีโออธิบายสำหรับโซเชียล หรือแม้แต่เนื้อหาเสียงสำหรับแอปพลิเคชัน การนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโมดูลการฝึกอบรม
  5. เครื่องมือแก้ไขภาพอัจฉริยะ (Smart Image Editing Tools) นักการตลาดกว่า 30% ทั้งใน B2C และ B2B ใช้เครื่องมือแก้ไขภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น Photoshop, Fotor AI และ Luminar เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการปรับปรุง ตกแต่ง ปรับขนาด หรือลบพื้นหลังโดยอัตโนมัติ ทำให้ภาพถ่ายสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็ว

ทัศนคติของผู้นำ B2C และ B2B ต่อ AI

การใช้งานเครื่องมือ AI อาจเป็นหน้าที่ของนักการตลาด แต่ทัศนคติของผู้นำองค์กรต่างหากที่บ่งชี้ถึงการนำ AI มาใช้ในระยะยาว

เมื่อสอบถามผู้นำว่าอะไรคือปัจจัยขับเคลื่อนการนำ AI มาใช้ คำตอบหลักๆ คือ การควบคุมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลที่ดีขึ้น (23%) ตามมาด้วย ความสามารถในการปรับแต่ง AI ให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจ (22%) และ การประหยัดต้นทุน (20%) ลำดับความสำคัญเหล่านี้มีความสม่ำเสมอในทั้งแบรนด์ B2C และ B2B ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้นำต้องการนำ AI มาใกล้ชิดกับแกนหลักของการดำเนินงานมากขึ้น

ผู้นำประมาณ 35% เห็นด้วยในระดับหนึ่งว่า AI จะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาสามารถขยายขนาดในลักษณะที่ไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีอื่น นี่ถือเป็นความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง แต่สิ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนยิ่งกว่าคือ คำตอบที่พบบ่อยเป็นอันดับสองคือ ความเป็นกลาง โดยเกือบ 29% ไม่เห็นด้วยและไม่ปฏิเสธ ซึ่งสะท้อนว่าผู้นำส่วนใหญ่อยู่ในสถานะที่ “สนใจแต่ยังคงจับตาดูอย่างใกล้ชิด” นอกจากนี้ ผู้นำมากกว่าหนึ่งในสามเห็นด้วยในระดับหนึ่งว่า AI จะสามารถเทียบเคียงการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตของมนุษย์ ทว่าเกือบ 27% ยังคงแสดงความเป็นกลางในประเด็นนี้

ประเด็นที่ผู้นำเห็นพ้องต้องกันมากที่สุดคือ การพึ่งพา AI มากเกินไปถือเป็นสัญญาณอันตราย ผู้นำส่วนใหญ่ (65%) เห็นด้วยว่า AI ควรถูกใช้ในบทบาทของพนักงาน แต่ไม่ควรทำให้พวกเขาต้องพึ่งพามันมากเกินไป นี่สะท้อนถึงความเคารพต่อความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และการคิดเชิงวิพากษ์ แม้จะมีคุณค่าในการทำงานซ้ำ ๆ โดยอัตโนมัติ แต่ทักษะหลักที่ทำให้การตลาดประสบความสำเร็จไม่ควรถูกมอบหมายให้ AI ทำทั้งหมด

ในด้าน ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ผู้นำส่วนใหญ่อธิบายว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนด้าน AI นั้น “เป็นบวกในระดับหนึ่ง” โดยประมาณ 43% เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ แต่มีเพียงประมาณหนึ่งในสามเท่านั้นที่เห็นผลตอบแทน “เป็นบวกอย่างมาก” สิ่งนี้สอดคล้องกับวิธีการที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้ AI คือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เร่งความเร็วในการสร้างเนื้อหา หรือปลดล็อกประสิทธิภาพขนาดเล็ก โดยสรุปแล้ว ผู้นำยังคงลงทุนใน AI แต่ก็ยังไม่มีใครเดิมพันทั้งหมดกับเทคโนโลยีนี้ในทันที

B2C หรือ B2B ใครปรับใช้ AI ได้เร็วกว่ากัน?

หากคาดหวังว่าจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง B2C และ B2B ในด้านการนำ AI มาใช้ ข้อมูลไม่ได้แสดงให้เห็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้อมูลและการพูดคุยกับนักการตลาดเผยให้เห็นคือ ทั้งสองฝ่ายต่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและในลักษณะที่น่าประหลาดใจ

ข้อมูลระบุว่า 91% ของทีมการตลาดใช้ AI ในบางส่วน และสัดส่วนระหว่าง B2C และ B2B นั้นเกือบเท่ากัน ในด้านทัศนคติของพนักงานก็เช่นกัน นักการตลาดกว่าครึ่งอธิบายว่าทีมของพวกเขา “กระตือรือร้น” ที่จะใช้ AI โดยที่ B2C และ B2B มีอัตราใกล้เคียงกัน

แม้กระทั่งเมื่อสอบถามผู้นำเกี่ยวกับการลงทุนในเครื่องมือ AI ในอนาคต สองในสามของทีมวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้าน AI ในปี 2025 และมีจำนวนที่ใกล้เคียงกันมากจากทั้งสองฝ่าย Kolawole Samuel Adebayo ผู้เขียนบทความต้นฉบับได้กล่าวสรุปไว้ว่า แม้ B2C และ B2B อาจใช้ AI สำหรับงานที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่เมื่อพูดถึงความเร็วในการนำไปใช้ พวกเขากำลังอยู่ในเส้นทางเดียวกันและเร่งความเร็วไปพร้อมกัน

ข้อสรุปที่สำคัญที่สุดคือ AI ไม่ได้เป็นของนักการตลาดประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนรายงานทางเทคนิคสำหรับองค์กร หรือการผลิตวิดีโอผลิตภัณฑ์ที่แพร่หลาย เป้าหมายหลักก็คือการสร้างสรรค์มากขึ้น ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และรักษาความเกี่ยวข้องไว้ นักการตลาดจึงใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้อย่างชาญฉลาด


source : hubspot

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ