ทิศทางหลักของไบโอเทคในศตวรรษหน้า: สามเสาหลักการเติบโต
ตลาดเทคโนโลยีชีวภาพ หรือไบโอเทค กำลังมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็ว ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีและข้อกำหนดต่าง ๆ สำหรับทิศทางหลักของไบโอเทคที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนในศตวรรษหน้ามีอยู่สามประการ
ประการแรก คือ การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) หรือสุขภาพส่วนบุคคล ซึ่งในส่วนนี้ การพัฒนายาส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ ยาพุ่งเป้า และ ยาที่อ้างอิงด้าน Gene (Gene-based drugs) ดังนั้น การวิเคราะห์งานทางด้านจีโนม (Genomic Analysis) จะเข้ามามีบทบาทในการผลิตผลิตภัณฑ์ในส่วนนี้มากขึ้น
ประการที่สอง คือ อุตสาหกรรมอาหารเพื่อความยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้จากปัจจุบันที่เริ่มมีงานวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับ Culture Meat หรือ เนื้อสังเคราะห์ ที่สร้างขึ้นมาในห้องแล็บ นอกจากนี้ งานเกษตรกรสมัยใหม่ก็จะใช้ชีววิทยามาตอบโจทย์ความยั่งยืนในอนาคตมากขึ้นด้วย
ประการสุดท้าย คือ สิ่งแวดล้อมและพลังงานชีวภาพ ซึ่งจะเป็นพลังงานทดแทนและจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต งานวิจัยในส่วนของ Bacterial Science หรือการวิจัยทางด้านพลังงานไบโอจะช่วยให้เกิดการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนในการใช้พลังงานในอนาคตได้
ความท้าทายที่รอแก้ไข: การขาดแคลนบุคลากรและกฎหมายที่ทันยุค
การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี การเข้าถึงเทคโนโลยีที่ซับซ้อน หรือการปรับตัวตามกฎหมายและข้อกำหนดต่าง ๆ
ความท้าทายหนึ่งที่สำคัญคือเรื่องของ ทรัพยากรบุคคล เนื่องจากปัจจุบันเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จำนวนนักวิจัยรุ่นใหม่จึงค่อนข้างลดลง ทำให้งานวิจัยต่าง ๆ มีปริมาณที่ลดลงตามไปด้วย ดังนั้น รัฐบาลควรให้ความสนใจในการพัฒนาทั้งทรัพยากรบุคคลและตัวเทคโนโลยี รวมถึงตัวข้อกำหนดต่าง ๆ ให้มีความทันสมัยด้วย นอกจากนี้ ความรวดเร็วในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาดก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำให้ทันในระดับโลก
กลยุทธ์ก้าวข้ามความท้าทาย: ยกระดับมาตรฐานและความร่วมมือ
คุณภัทรฤทัย จันกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการบริษัท S.M. CHEMICAL SUPPLIES จำกัด มองการก้าวข้ามความท้าทายต่ออุตสาหกรรม Biotech ว่า “เพื่อเอาชนะความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงของไบโอเทค ห้อง Labต่าง ๆ ควรดำเนินการในหลายมิติ อันดับแรก Lab ควรจะยกระดับและปรับความสามารถและเทคโนโลยี ให้ได้ตามมาตรฐานสากล ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องก็จะมี GMP และ GLP ถัดมา ควรมีการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ในการวิจัยระหว่างกันอย่างเข้มแข็ง ทั้งจากภาคเอกชน, รัฐบาล, และหน่วยงานทางการศึกษา เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ นอกจากนี้ ในเรื่องของบุคลากรก็ควรมีการ Upskill ให้มีความรู้ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาการทำวิจัยให้มากขึ้น”
Ecosystem และ R&D คือเส้นเลือดใหญ่ : ทีมผู้เชี่ยวชาญคือหัวใจ
การกระจายตัวของทีมวิจัยผู้เชี่ยวชาญไบโอเทคในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ส่วน
- สถาบันวิจัยหลัก หน่วยงานที่ขับเคลื่อนงานวิจัยด้านไบโอเทค เช่น ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.).
- กลุ่มวิจัยเฉพาะทาง BIOTEC มีการแบ่งกลุ่มวิจัยตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น:
- เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร
- เทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรม
- เทคโนโลยีชีวภาพสัตว์น้ำ
- สุขภาพสัตว์และการจัดการ
- นวัตกรรมอาหาร
- ไบโอรีไฟเนอรี่และชีวภัณฑ์
- วิศวกรรมชีวเคมีและชีววิทยาระบบ
- เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ
- เทคโนโลยีชีวภาพระดับโมเลกุลทางการแพทย์
- เทคโนโลยีชีวภาพพืช
- กลุ่มวิจัยบริษัทเอกชน
ในแต่ละกลุ่มวิจัยจะมีทีมงานนักวิจัยที่เชี่ยวชาญ เช่น ทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ที่มีนักวิจัยอาวุโสและนักวิจัยสาขาต่างๆ แต่การรองรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษหน้า ด้าน อาหาร และ สุขภาวะ จำเป็นต้องใช้ขุมพลังของนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้าน Biotechnology มากกว่านี้นัก
Industrial Key Success
สภาอุตสาหกรรมฯ ชี้ว่า Biotech เป็นทางรอดสำคัญของไทย โดยมีศักยภาพสร้างมูลค่าเพิ่มจากภาคเกษตรกรรมได้มาก โดยเฉพาะธุรกิจ Bio-Innovation มีการลงทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นกว่า 123% จากปี 2562 อีกความจำเป็นหนึ่งคือ การสร้าง Ecosystem และการลงทุน R&D เชิงกลยุทธ์ ก็สำคัญไม่แพ้กัน แม้ประเทศไทยจะมีศักยภาพสูง ด้าน Biotech แต่หากขาดการรังสรรทั้ง 3 ด้านนี้ ผู้เชี่ยวชาญ, Ecosystem, และการลงทุน R&D ประเทศไทยอาจตกขบวน พลาดโอกาสทอง ที่เป็น โอกาสไทย แต่เดิม ก็เป็นได้
Source : จับตา 3 เทรนด์ Biotechnology แห่งอนาคต: โอกาสและความท้าทายที่คุณต้องรู้!











