SIEMENS
element14
building safety thailand earthquake standard

เมื่อ แผ่นดินไหว เขย่าประเทศ มาตรฐานที่ต้องรู้เพื่อให้อาคารอยู่รอด

Date Post
04.04.2025
Post Views

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13:20 น. ตามเวลาประเทศไทย รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา แต่สามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะอาคารสูง ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับประชาชนจำนวนมาก

เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ทิ้ง “ร่องรอยแห่งคำถาม” ไว้กับคนไทยทั้งประเทศว่า อาคารบ้านเรือนของเราแข็งแรงพอหรือไม่ หากวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศของเราเองจะเป็นอย่างไร ?

MMThailand เราขอพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักกับ “มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว” หรือ มยผ. 1301/1302-61 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่กรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดทำขึ้นอย่างเข้มข้น เพื่อให้สถาปนิก วิศวกร และเจ้าของอาคารทุกคนสามารถออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่ “ไม่เพียงสวยงาม แต่ต้องปลอดภัยด้วย”

มาตรฐานนี้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในวันที่ไม่คาดคิด และวันนี้…เราจะพาคุณไปเข้าใจแก่นแท้ของมันและตอบคำถามได้ว่ามาตรฐานที่ต้องรู้เพื่อให้อาคารอยู่รอดคืออะไร

อาคารหยุดนิ่งเป็นเรื่องปกติแต่เมื่อมันไม่นิ่งต้อง“ไม่พัง” ด้วย แผ่นดินไหว

แนวคิดหลักของมาตรฐานนี้ไม่ใช่การทำให้อาคารหยุดไหว แต่คือการทำให้อาคาร “ไหวได้อย่างปลอดภัย” กล่าวคือ อาคารสามารถโยกหรือสั่นตามแรงแผ่นดินไหวได้ในระดับที่โครงสร้างไม่พังทลาย

การออกแบบต้องพิจารณาทั้งแรงเฉือน แรงดัด และพฤติกรรมพลศาสตร์ของอาคาร โดยเฉพาะในกรณีอาคารที่มีรูปทรงไม่สมํ่าเสมอ หรืออาคารสูงเกิน 75 เมตร ต้องใช้การวิเคราะห์แบบพลศาสตร์ เช่น Modal Response หรือ Time History Analysis

หลักเกณฑ์การออกแบบที่ควรรู้เพื่อรับมือ แผ่นดินไหว

มาตรฐาน มยผ.1301-61 ได้กำหนดแนวทางสำคัญในการออกแบบอาคารเพื่อให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ โดยเน้นว่าโครงสร้างอาคารต้องมีความเหนียว (Ductility) และสามารถดูดซับพลังงานจากแรงไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อให้อาคารสามารถ “โยกตัวได้โดยไม่ถล่ม” หรือเกิดความเสียหายร้ายแรง

จุดประสงค์ของการออกแบบจึงไม่ใช่การสร้างอาคารที่ไม่มีการเคลื่อนไหว แต่คือการสร้างอาคารที่สามารถเคลื่อนไหวอย่างมีการควบคุม ซึ่งเป็นหลักวิศวกรรมพลศาสตร์ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะกับอาคารสูงหรืออาคารที่ใช้งานด้านสาธารณะ

มาตรฐานยังระบุว่าอาคารจะต้องออกแบบให้รองรับแรงในหลายทิศทาง ได้แก่ แรงเฉือน (Shear), แรงดัด (Bending Moment) และแรงตามแนวตั้ง (Axial Load) ซึ่งเป็นผลจากแรงกระทำซ้ำจากแผ่นดินไหว โดยต้องออกแบบให้มีการกระจายแรงอย่างสมดุลทั่วทั้งโครงสร้าง

อาคารยังถูกจำแนกตามรูปทรงเป็น 2 ประเภท คือ อาคารที่มีรูปทรงสมํ่าเสมอ (Regular) และอาคารที่ไม่สมํ่าเสมอ (Irregular) ซึ่งอาคารแบบ Irregular เช่น อาคารที่มีปีกยื่น อาคารรูปตัว L, T หรือ Z จะต้องใช้วิธีการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การวิเคราะห์ตอบสนองเชิงพลศาสตร์

สำหรับอาคารทั่วไปในเขตพื้นที่แรงไหวต่ำถึงปานกลาง อาจใช้ “วิธีแรงสถิตเทียบเท่า” (Equivalent Static Method) ได้ แต่ในกรณีอาคารที่สูงเกิน 75 เมตร หรือมีลักษณะพิเศษดังกล่าวข้างต้น มาตรฐานกำหนดให้ใช้วิธีวิเคราะห์แบบพลศาสตร์ขั้นสูง เช่น “Modal Response Spectrum Analysis” ซึ่งอาศัยข้อมูลรูปแบบการสั่นไหวของอาคารหลายโหมด หรือ “Time History Analysis” ที่จำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหวโดยตรง

นอกจากนี้ มาตรฐานยังให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องของโครงสร้าง (Continuity) และการป้องกันพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดการวิบัติแบบเฉียบพลัน (Brittle Failure) โดยเน้นการใช้รายละเอียดโครงสร้างเสริมเหล็กที่ช่วยเพิ่มความเหนียว เช่น การเสริมเหล็กปลอก การจัดเรียงเหล็กเสริมตามแนวแรงหลัก และการเลือกวัสดุที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อแรงกระทำพลศาสตร์

Exterior of a high-rise building showing extensive crack repairs on the walls, possibly caused by structural stress or earthquake-related damage in an urban area.

การจำแนกประเภทของอาคารเพื่อกำหนดระดับความสำคัญหากเกิดแผ่นดินไหว

มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ได้แบ่งประเภทของอาคารออกเป็น 4 กลุ่มตามระดับความสำคัญ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการกำหนดค่า “ตัวประกอบความสำคัญ” (Importance Factor, I) ที่จะถูกนำไปใช้ในการคูณกับแรงแผ่นดินไหวเพื่อให้อาคารมีความปลอดภัยตามความเสี่ยงต่อชีวิตและระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง

  • ประเภท I: อาคารที่มีความสำคัญน้อย หรือหากได้รับความเสียหายจะไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและเศรษฐกิจ เช่น อาคารเก็บของชั่วคราว หรืออาคารที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยประจำ
  • ประเภท II: อาคารทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น บ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน หรืออาคารพาณิชย์ทั่วไป เป็นกลุ่มที่มีการใช้งานแพร่หลายที่สุด
  • ประเภท III: อาคารที่หากพังจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสาธารณชน เช่น โรงเรียน สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงแรมขนาดใหญ่ อาคารที่มีคนอยู่จำนวนมาก และมีความเสี่ยงสูงหากเกิดการอพยพล่าช้า
  • ประเภท IV: อาคารที่มีความสำคัญสูงสุดต่อการฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ เช่น โรงพยาบาล สถานีดับเพลิง สถานีตำรวจ ศูนย์ควบคุมวิกฤต ซึ่งจำเป็นต้องสามารถใช้งานได้แม้หลังแผ่นดินไหว

ยิ่งอาคารอยู่ในประเภทที่สูงขึ้น ค่า Importance Factor ที่ใช้คำนวณแรงแผ่นดินไหวก็จะสูงขึ้น เพื่อให้อาคารสามารถรองรับแรงได้มากกว่าปกติ เช่น อาคารประเภท IV อาจใช้ค่า I = 1.5 ในขณะที่อาคารประเภท II ใช้ I = 1.0

ดังนั้น การจำแนกประเภทอาคารอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้การออกแบบสอดคล้องกับข้อกำหนดของมาตรฐาน แต่ยังเป็นการรับรองว่าผู้อยู่อาศัยในอาคารจะได้รับความปลอดภัยตามบทบาทของอาคารนั้นในสังคม

มาตรฐานการก่อสร้าง ผนังอิฐก่อส่วนที่มักถูกละเลยแต่มีผลกระทบมหาศาล

ประสบการณ์จากแผ่นดินไหวเชียงรายในปี 2557 ได้แสดงให้เห็นว่า “ผนังอิฐก่อ” ซึ่งมักถูกจัดว่าเป็นองค์ประกอบไม่ใช่โครงสร้างหลัก กลับส่งผลต่อพฤติกรรมการสั่นไหวของอาคารอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่ออาคารไม่ได้ออกแบบให้รองรับผลกระทบของแรงกระทำจากผนังเหล่านี้โดยตรง

ผนังอิฐก่อสามารถมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะการกระจายแรงในอาคาร เกิดแรงเฉือนในจุดที่ไม่คาดคิด หรือสร้างแรงต้านไม่สมดุล ซึ่งอาจทำให้โครงสร้างหลักเสียหายหรือพังทลายได้ในบางสถานการณ์ที่เกิดแรงไหวรุนแรง

มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ฉบับปรับปรุง จึงกำหนดให้ต้องพิจารณาผนังอิฐก่อเป็นส่วนหนึ่งของระบบโครงสร้างในบางกรณี โดยเฉพาะผนังที่ยึดแน่นกับโครงสร้าง เช่น ผนังรับน้ำหนักหรือผนังภายในที่มีความหนาแน่นสูง ทั้งนี้เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่เรียกว่า “Short Column Effect” หรือ “ผลของเสาสั้น” ที่เกิดขึ้นเมื่อผนังอิฐก่อจำกัดการเคลื่อนที่ของเสาบางต้น

มาตรฐานได้กำหนดค่าความแข็งแรงของผนังอิฐก่อโดยพิจารณาตามชนิดวัสดุและคุณภาพ เช่น

  • อิฐมอญ: 8 MPa สำหรับคุณภาพดี, 5 MPa สำหรับทั่วไป
  • อิฐมวลเบา: 3.5 MPa สำหรับคุณภาพดี, 2.5 MPa สำหรับทั่วไป
  • คอนกรีตบล็อก: 7–10 MPa ขึ้นกับความหนาแน่นและคุณภาพของวัสดุ

นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงรูปแบบการยึดเกาะกับโครงสร้าง เช่น การใช้เหล็กเดือย (Dowel Bar) เหล็กเสริมแนวตั้ง และมอร์ตาร์ที่มีค่ากำลังอัดไม่น้อยกว่า 10 MPa เพื่อเพิ่มความต่อเนื่องในการรับแรงร่วมกันระหว่างผนังและโครงสร้างหลัก

การมองข้ามรายละเอียดของผนังอิฐก่อในการออกแบบ อาจทำให้การวิเคราะห์พฤติกรรมของอาคารคลาดเคลื่อนได้อย่างมาก ซึ่งจะนำไปสู่การประเมินกำลังรับแรงของโครงสร้างผิดพลาด และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียหายจากแผ่นดินไหวโดยไม่จำเป็น

ค่าความรุนแรงของแผ่นดินไหวไม่เท่ากันทุกพื้นที่ 

แผ่นดินไหวไม่ได้ส่งผลเท่ากันทุกพื้นที่ เนื่องจากลักษณะธรณีวิทยา เช่น ความหนาแน่นของชั้นดิน ความลึกของแอ่งดิน และค่าความเร็วคลื่นเฉือน (Shear Wave Velocity) ของดินในแต่ละพื้นที่นั้นแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถของดินในการขยายแรงสั่นสะเทือน ทำให้ความรุนแรงที่อาคารได้รับอาจมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าที่เกิดขึ้นจริงที่แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว

เพื่อจัดการกับความแตกต่างนี้ มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 จึงได้จัดทำแผนที่แรงแผ่นดินไหวในรูปของ “ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัม” (Spectral Acceleration) ซึ่งแสดงได้ 2 พิกัด คือ

  • SS: ค่าความเร่งตอบสนองที่ช่วงเวลา 0.2 วินาที สำหรับอาคารต่ำถึงกลาง
  • S1: ค่าความเร่งตอบสนองที่ช่วงเวลา 1.0 วินาที สำหรับอาคารสูง

ค่าทั้งสองนี้เป็นค่าที่ดัดแปลงจากแรงสั่นสะเทือนดิบให้อยู่ในรูปที่สามารถใช้ในการออกแบบได้ โดยอิงจากอายุการใช้งาน 50 ปี และระดับความน่าจะเกิดซ้ำของเหตุการณ์แผ่นดินไหวร้ายแรงที่ราว 2% ภายในช่วงเวลา 50 ปี

ตัวอย่างเช่น

  • อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย มีค่า SS = 1.015 และ S1 = 0.456 ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง ต้องออกแบบอาคารให้มีความสามารถในการรับแรงไหวในระดับรุนแรง
  • กรุงเทพฯ บางเขต แม้มีค่า SS ต่ำกว่า เช่น ประมาณ 0.2–0.3 แต่เนื่องจากตั้งอยู่บนแอ่งดินเหนียวลึก แรงสั่นสะเทือนอาจถูกขยายจนมีความรุนแรงใกล้เคียงกับพื้นที่ที่มีค่า SS สูงกว่ามาก

ในการออกแบบจริง วิศวกรจะต้องใช้ค่า SS และ S1 เหล่านี้มาปรับด้วยปัจจัยดิน (Site Class) เช่น FA และ FV เพื่อคำนวณค่าความเร่งสุดท้ายที่ใช้ในการคำนวณแรงกระทำต่ออาคาร ได้แก่ SMS และ SM1 ซึ่งจะนำไปใช้กำหนดค่าพื้นฐานของแรงกระทำจากแผ่นดินไหว (Seismic Base Shear)

ดังนั้น ความเข้าใจในค่าความรุนแรงของแผ่นดินไหวในแต่ละพื้นที่จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกวิธีการออกแบบและรายละเอียดของโครงสร้าง เพื่อให้สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชั้นดินเรื่อง มาตรฐานการก่อสร้าง ที่ไม่ควรมองข้าม

ชั้นดินมีผลโดยตรงต่อระดับแรงสั่นสะเทือนที่อาคารจะต้องรับ เนื่องจากดินแต่ละประเภทมีความสามารถในการขยาย (Amplify) แรงคลื่นแผ่นดินไหวที่แตกต่างกัน หากไม่พิจารณาอย่างรอบคอบ อาจทำให้อาคารที่ออกแบบถูกต้องตามมาตรฐานทั่วไปยังคงพังได้เมื่อแรงถูกขยายโดยชั้นดิน

มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 แบ่งชั้นดินออกเป็น 6 ประเภทหลัก ได้แก่ A, B, C, D, E และ F โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • ชั้นดิน A: หินแข็งหรือหินแกรนิต ความเร็วคลื่นเฉือน > 1,500 ม./วินาที มีการขยายแรงน้อยที่สุด
  • ชั้นดิน B: หินแข็งปานกลาง เช่น หินทราย ความเร็วคลื่นเฉือน 760–1,500 ม./วินาที
  • ชั้นดิน C: ดินแข็ง เช่น ดินเหนียวแน่น ความเร็วคลื่นเฉือน 360–760 ม./วินาที
  • ชั้นดิน D: ดินอ่อน เช่น ดินเหนียวอ่อน ความเร็วคลื่นเฉือน 180–360 ม./วินาที
  • ชั้นดิน E: ดินอ่อนมาก หรือดินที่มีโอกาสเกิดการเหลวตัวสูง
  • ชั้นดิน F: ดินพิเศษ เช่น ดินอินทรีย์ ดินที่มีโอกาสเกิด Liquefaction สูง หรือดินที่ต้องพิจารณา Site Response Analysis อย่างละเอียดเป็นกรณีเฉพาะ

สำหรับอาคารที่ตั้งอยู่บนชั้นดิน F หรือในบริเวณที่มีความหนาของดินอ่อนลึกมาก จะต้องดำเนินการวิเคราะห์การตอบสนองของดิน (Site Response Analysis) โดยใช้ข้อมูลจากการเจาะสำรวจดิน เช่น CPT, SPT หรือการวัดคลื่นเฉือน (MASW, SASW) เพื่อประเมินค่าการขยายแรงให้ถูกต้อง

หากไม่มีข้อมูลการทดสอบดินที่ชัดเจน มาตรฐานแนะนำให้ “สมมุติเป็นชั้นดิน D” เพื่อความปลอดภัย และใช้ค่าปรับมาตรฐานดิน (Site Coefficient) ที่ระมัดระวัง เช่น FA และ FV ตามตารางที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน

การระบุประเภทชั้นดินผิดพลาดจะส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณแรงกระทำแผ่นดินไหว และอาจทำให้รายละเอียดโครงสร้างอาคารที่ออกแบบไว้ไม่เพียงพอต่อการรับแรงจริง ดังนั้น การประเมินประเภทชั้นดินอย่างถูกต้องจึงถือเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่มีความสำคัญสูงสุดในการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว

โครงสร้าง ต้านแรงดัดควรเลือกแบบเหนียวพิเศษหรือปานกลาง?

มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ระบุชัดเจนว่าอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่มีความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวระดับกลางถึงสูง หรืออาคารที่มีความสำคัญพิเศษ เช่น โรงพยาบาล สถานศึกษา และศูนย์อพยพฉุกเฉิน ควรเลือกใช้ระบบโครงสร้าง “ต้านแรงดัดแบบเหนียวพิเศษ” (Special Moment-Resisting Frame: SMRF)

โครงสร้างชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อให้สามารถดูดซับและกระจายพลังงานจากแผ่นดินไหวได้ดี โดยต้องมีความสามารถในการเสียรูปอย่างมากก่อนจะเกิดการพังทลาย (High Ductility) นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดด้านรายละเอียดเหล็กเสริมที่เข้มงวดกว่าระบบแบบปานกลาง (Intermediate Moment Frame) เพื่อป้องกันการวิบัติแบบเฉียบพลัน

ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำหรืออาคารทั่วไปที่ไม่ได้มีผู้ใช้งานจำนวนมาก อาจพิจารณาใช้โครงต้านแรงดัดแบบเหนียวปานกลาง (Intermediate Moment Frame: IMF) ได้ แต่ต้องคำนวณค่าแรงแผ่นดินไหวให้แม่นยำและประเมินความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวด้วย

เมื่อใช้โครงต้านแรงดัดร่วมกับผนังอิฐก่อ จะต้องวิเคราะห์แรงปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงและผนังอย่างละเอียด เช่น แรงเฉือน (Shear Force) ที่อาจทำให้ปีกคานหรือเสาเสียรูปผิดปกติ แรงกด (Axial Compression) จากการถ่ายแรงผิดสมดุล หรือแรงดัด (Moment) ที่อาจทำให้การเสียรูปไม่เป็นไปตามที่ออกแบบไว้

มาตรฐานแนะนำให้ใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์โครงสร้างที่สามารถคำนวณ Nonlinear Interaction ได้ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบโครงสร้างสามารถทำงานร่วมกับองค์ประกอบอื่นได้อย่างปลอดภัยตลอดช่วงแรงสั่นสะเทือน และหลีกเลี่ยงการเกิดพฤติกรรมแบบเสาสั้น (Short Column) หรือการเสียรูปที่รุนแรงเกินควบคุมในจุดเชื่อมต่อ

รายละเอียดของเสา คาน และเหล็กเสริมก็สำคัญไม่แพ้กันเมื่อเกิดแผ่นดินไหว

เสาและคานถือเป็นองค์ประกอบหลักของโครงสร้างอาคาร ซึ่งต้องสามารถรับแรงทั้งในแนวดิ่งและแนวราบที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในพื้นที่ที่มีแรงแผ่นดินไหวสูง มาตรฐานกำหนดให้ใช้เหล็กปลอกพันถี่ขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหัว–ท้ายเสาและคาน ซึ่งเป็นจุดที่เกิดแรงเฉือนและโมเมนต์สูง

ข้อกำหนดที่สำคัญ คือ ระยะห่างระหว่างเหล็กปลอกต้องไม่เกิน 1/2 ของความลึกหน้าตัด (Effective Depth) หรือไม่เกิน 100 มม. แล้วแต่ค่าใดจะน้อยกว่า เพื่อควบคุมความเปราะในช่วงวิกฤต และเพิ่มความสามารถในการเสียรูปโดยไม่พังทลายให้กับองค์ประกอบโครงสร้าง

การเลือกใช้เหล็กเสริมก็มีความสำคัญ มาตรฐานแนะนำให้ใช้เหล็กเส้นกลม SR24 หรือเหล็กข้ออ้อย SD30–SD40 ที่มีค่าคราก (Yield Strength) ไม่เกิน 483 MPa โดยเน้นว่าเหล็กควรมีความสามารถในการเสียรูปได้ดี และไม่แตกเปราะก่อนการยืดตัว

ในกรณีเสาที่อยู่ติดกับผนังอิฐก่อหรือรับแรงจากองค์ประกอบไม่ใช่โครงสร้าง เช่น ผนังเบา หรือเฟรมประตูหน้าต่าง จำเป็นต้องมีรายละเอียดพิเศษ ได้แก่

  • การใช้เหล็กปลอกแบบวงปิดเต็มรอบ
  • การเสริมเหล็กขวางเพิ่มในระยะปลอกถี่
  • การเพิ่มความยาวของเหล็กปลอกบริเวณจุดต่อกับฐานรากหรือคาน

ทั้งหมดนี้เพื่อลดโอกาสเกิดพฤติกรรมวิบัติเฉพาะจุด (Localized Failure) ที่มักเริ่มต้นจากบริเวณเชื่อมต่อระหว่างองค์ประกอบ และเพื่อให้เสา–คานสามารถกระจายแรงที่เกิดจากแผ่นดินไหวไปสู่ส่วนอื่นของอาคารได้อย่างปลอดภัย

อีกประเด็นสำคัญ คือ การจัดเรียงเหล็กเสริมต้องคำนึงถึงแรงที่กระทำจากหลายทิศทาง โดยเฉพาะแรงสั่นในแนวขวางซึ่งอาจทำให้เหล็กหลักเกิดการโก่งตัวภายในวงปลอก หากปลอกไม่ถี่พอ หรือไม่ได้รัดแน่นด้วยลวดผูกหรือจุดเชื่อมอย่างมีคุณภาพ ก็อาจนำไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงได้

องค์ประกอบในอาคารที่ไม่ใช่โครงสร้างหลักก็ต้องคำนึงถึง

มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะโครงสร้างหลักอย่างเสา คาน หรือผนังเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงองค์อาคารอื่น ๆ ที่ไม่ถือเป็นโครงสร้างหลัก (Non-Structural Components) ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายได้ หากไม่ได้รับการออกแบบหรือยึดติดอย่างเหมาะสม

องค์ประกอบเหล่านี้รวมถึงบันไดฉุกเฉิน ถังเก็บน้ำบนดาดฟ้า เครื่องปรับอากาศ (HVAC) ระบบท่อประปา ท่อน้ำดับเพลิง แผงโซลาร์เซลล์ ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน และแม้แต่ฝ้าเพดานหรือผนังกั้นเบา ซึ่งหากพังลงมาอาจสร้างความเสียหายต่อทั้งผู้ใช้อาคารและระบบโครงสร้างหลักได้

ตามมาตรฐาน หากองค์ประกอบในอาคารเหล่านี้มีน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 25 ของน้ำหนักออกแบบของอาคาร หรืออยู่ในตำแหน่งที่หากพังแล้วจะส่งผลต่อเสถียรภาพของอาคาร เช่น พังลงบนโครงสร้างรับน้ำหนักหรือเส้นทางอพยพ จำเป็นต้องได้รับการออกแบบให้รองรับแรงแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึง “การถ่ายแรงและการยึดโยง (Anchorage)” ขององค์ประกอบเหล่านี้ เช่น การใช้เหล็กยึดที่สามารถรับแรงสั่นในแนวราบได้ การจัดตำแหน่งศูนย์ถ่วงของวัตถุให้ใกล้กับจุดยึด และการจำกัดการสั่นที่อาจเกิดขึ้นจากการเรโซแนนซ์ (Resonance) ซึ่งจะทำให้แรงกระทำทวีความรุนแรงมากกว่าปกติ

ในทางปฏิบัติ วิศวกรจะต้องประเมินทั้งแรงแนวตั้งและแรงแนวราบที่เกิดจากแผ่นดินไหว แล้วนำไปใช้ในการเลือกวัสดุยึด การกำหนดขนาดและจำนวนจุดยึด และการออกแบบโครงรับเฉพาะสำหรับองค์ประกอบแต่ละประเภท โดยใช้หลักเกณฑ์จาก NEHRP หรือมาตรฐาน ASCE 7-16 เป็นแนวทางประกอบ

มาตรฐานการก่อสร้างหากเกิดแผ่นดิน ไหวคือเกราะป้องกันชีวิตในอนาคต

การออกแบบอาคารให้สามารถต้านทานแรงจากแผ่นดินไหวได้ ไม่ใช่เพียงการเลือกวัสดุหรือโครงสร้างที่แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในอาคารนั้น ๆ อย่างแท้จริง มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 จึงเปรียบเสมือนแนวทางปฏิบัติที่สกัดจากบทเรียนของความสูญเสียหลายครั้ง เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางโครงสร้างอย่างเป็นระบบ

บทความฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อสื่อสารสาระสำคัญของมาตรฐานฉบับดังกล่าวในภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้เจ้าของอาคาร วิศวกร ผู้พัฒนาโครงการ และประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักถึงหลักคิดที่อยู่เบื้องหลังมาตรฐาน และสามารถนำไปใช้ในการตรวจสอบหรือสื่อสารกับผู้รับเหมาและผู้ออกแบบได้อย่างมั่นใจ

ทั้งนี้ ขอขอบคุณเอกสารอ้างอิงหลักจากกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งได้จัดทำมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ฉบับปรับปรุง เพื่อให้เป็นแนวทางในการออกแบบอาคารที่ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวในประเทศไทยโดยเฉพาะ

บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเพื่อใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางกฎหมายหรือใช้แทนมาตรฐานฉบับเต็ม หากผู้อ่านต้องการรายละเอียดเชิงเทคนิคที่ครบถ้วน ขอแนะนำให้ศึกษาจากเอกสารต้นฉบับอย่างเป็นทางการของกรมโยธาธิการและผังเมือง

Ref : https://www.dpt.go.th/th/dpt-standard/854#wow-book/

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
งานสถาปนิก 2025