IDA Project
IDA Project
carbon footprint tver netzero thailand

โลกเดือด ภัยคุกคาม : สู่มาตรฐานคาร์บอนต่ำ อุตสาหกรรมยั่งยืน

Date Post
21.10.2025
Post Views

ปัจจุบัน ‘โลกเดือด’ เมื่อสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลง (Climate change) แต่ยกระดับสู่ภัยคุกคามมนุษยชาติ (Climate crisis) ซึ่งนำไปสู่ภัยพิบัติและความผันผวนของสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตของผู้คนโดยตรง ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดมาตรการและนโยบายเพื่อควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCC) ถือเป็นความตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายในการควบคุมไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ องค์กรชั้นนำต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น และได้เข้าร่วมสนับสนุนการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยการประกาศเจตนารมณ์หรือตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ของตนเอง การดำเนินการดังกล่าวเป็นการทำกิจกรรมด้วยความสมัครใจ

การทำความเข้าใจ Carbon Footprint ขององค์กร (CFO)

ก่อนที่องค์กรจะสามารถดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ องค์กรจะต้องทราบปริมาณการปล่อยคาร์บอนขององค์กรก่อน ซึ่งเราเรียกการวัดปริมาณนี้ว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร หรือ CFO (Carbon Footprint for Organization) 

CFO เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแสดงข้อมูลปริมาณการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมภายในองค์กร วัตถุประสงค์หลักของ CFO คือการช่วยให้องค์กรสามารถประเมิน วางแผนและกำหนดแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การคำนวณ CFO จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ในทางปฏิบัติ การปล่อยคาร์บอนที่เราพูดถึงนั้น หมายรวมถึงก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 7 ชนิด ซึ่งประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide), มีเทน (Methane), ไนตรัสออกไซด์ (Nitrous Oxide), และก๊าซกลุ่ม F-Gas ต่างๆ ก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดมีศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ตามค่า GWP หรือ Global Warming Potential  ที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีค่า GWP เท่ากับ 1 ในขณะที่ก๊าซมีเทนมีค่า GWP เป็น 28 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์มีค่า GWP เป็น 265 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ ค่า GWP นี้เปรียบเสมือนสกุลเงินที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากต้องการเปรียบเทียบก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในหน่วยเดียวกัน จึงต้องเทียบเคียงกันในหน่วยของ ‘คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า’

หลักการและขอบเขตของการประเมิน CFO

ในการจัดทำ CFO นั้น ควรยึดหลักการสำคัญ 5 ประการ: ประการแรกคือ 

  • ความตรงประเด็น คือข้อมูลต้องเกี่ยวข้องกับเป้าหมายของการประเมิน 
  • ความสมบูรณ์  คือต้องครอบคลุมแหล่งปล่อยคาร์บอน ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 
  • ความไม่ขัดแย้ง  คือข้อมูลต้องสอดคล้องและเป็นเหตุเป็นผลกัน 
  • ความถูกต้อง  คือต้องมีความน่าเชื่อถือและลดข้อผิดพลาดให้มากที่สุด 
  • ความโปร่งใส  คือต้องเปิดเผยวิธีการและสมมุติฐานที่ใช้ในการประเมินอย่างชัดเจน

การประเมิน CFO ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่ ขอบเขตขององค์กร (Organizational Boundary) และขอบเขตรายงาน (Reporting Boundary) 

1.ขอบเขตขององค์กร สามารถกำหนดได้หลายรูปแบบ เช่น แนวทางการควบคุมการดำเนินงาน (Operational Control), แนวทางการควบคุมทางการเงิน (Financial Control), หรือแนวทางตามสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ (Equity Share)

2.ส่วนขอบเขตรายงาน จะใช้ในการจัดประเภทแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3 สโคป:

  • สโคป 1  คือการปล่อยโดยตรงจากแหล่งที่องค์กรควบคุม เช่น การใช้เชื้อเพลิงในโรงงาน การรั่วไหลของสารทำความเย็น หรือถังดับเพลิง สโคปนี้รวมถึงการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรง
  • สโคป 2  คือการปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงาน เช่น ไฟฟ้าที่ซื้อมาใช้
  • สโคป 3  คือการปล่อยทางอ้อมอื่น ๆ เช่น การเดินทางของพนักงาน การขนส่งวัตถุดิบ หรือของเสีย การรายงานสโคป 3 นี้จะมีการอ้างอิง  GHG Protocol

เมื่อองค์กรทราบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ก็สามารถกำหนดกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างตรงจุด ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้พลังงานทดแทน หรือการส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 กลไกคาร์บอนเครดิต: แนวทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

หลังจากที่องค์กรได้ดำเนินกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยตนเองแล้ว เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ หรือการปรับเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะไฟฟ้า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เหลืออยู่ซึ่งยังไม่สามารถลดได้ด้วยตนเอง จะสามารถนำไปชดเชยได้ด้วยคาร์บอนเครดิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero  ที่ตั้งไว้ กลไกนี้เรียกว่า ‘ตลาดภาคสมัครใจ’ (Voluntary Market)

‘คาร์บอนเครดิต’ คือปริมาณการลดหรือการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกที่ได้จากการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตและได้รับการรับรองจากหน่วยงานเจ้าของมาตรฐาน รวมถึงถูกบันทึกไว้ในระบบทะเบียน มาตรฐานคาร์บอนเครดิตมีหลายระดับ มาตรฐานระดับนานาชาติ เช่น กลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือ CDM, หรือ Article 6.4 ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  และ มาตรฐานระดับชาติที่แต่ละประเทศพัฒนาขึ้นให้เข้ากับบริบทของตนเอง เช่น โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือ ‘T-VER’, โครงการ J-Credit ของญี่ปุ่น หรือโครงการ CCER ของจีน นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานอิสระที่พัฒนาโดยองค์กรเอกชน เช่น VCS และ Gold Standard

การทำโครงการคาร์บอนเครดิตนั้นมีประโยชน์หลายด้าน นอกเหนือจากการนำปริมาณคาร์บอนเครดิตไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Offset) เพื่อความเป็กลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) แล้ว ยังสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยน นำไปรายงานเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร หรือใช้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรได้อีกด้วย สิ่งที่สำคัญคือ ข้อมูลที่นำมาคำนวณจะต้องมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และผ่านการทวนสอบจากบุคคลที่ 3

โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของไทย T-VER

โครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction) เป็นกลไกคาร์บอนเครดิตที่ประเทศไทยพัฒนาขึ้นมาเองตั้งแต่ปี 2557 แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ Standard T-VER ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายในประเทศเป็นหลัก และ Premium T-VER ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติตามมาตรฐานสากล โครงการที่สามารถพัฒนาเป็น T-VER ครอบคลุม 7 เซกเตอร์หลัก 14 ประเภทโครงการ คือ พลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพพลังงาน การจัดการของเสีย การขนส่ง และโครงการในภาคป่าไม้และการเกษตร

ขั้นตอนการทำโครงการ T-VER มีอยู่ 2 ขั้นตอนหลัก:

1. ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนโครงการ ผู้พัฒนาโครงการจะต้องทราบขอบเขตโครงการและตรวจสอบว่ากิจกรรมที่ดำเนินการสอดคล้องกับระเบียบวิธีการคำนวณที่ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กำหนดหรือไม่ จากนั้นจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการตามแบบฟอร์ม เอกสารดังกล่าวจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบความใช้ได้ (Validation) จากผู้ประเมินภายนอก ก่อนที่จะยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER กับทาง อบก.

2. ขั้นตอนการขอรับรองคาร์บอนเครดิต แม้จะขึ้นทะเบียนแล้ว โครงการยังไม่มีคาร์บอนเครดิตในทันที ต้องมีการจัดทำเอกสารการติดตามประเมินผล ผ่านการทวนสอบ (Verification) จากผู้ประเมินภายนอก และยื่นขอรับรองกับ อบก. คาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการ อบก. แล้วเท่านั้นจึงจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือซื้อขายแลกเปลี่ยนได้    

Industrial Key Success

การดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าถึงตลาดบางแห่ง ทำให้องค์กรที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ได้  เช่น มาตรการภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป กำลังส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย การมีคาร์บอนเครดิตจะช่วยลดภาระภาษี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้  คาร์บอนเครดิตจึงไม่ใช่เพียงแค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรุ่งโรจน์ ” สำหรับภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบันและอนาคต การปรับตัวและใช้ประโยชน์จากกลไกนี้อย่างชาญฉลาด จะช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ….. 


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
ลงทะเบียนร่วมงาน Automation Expo