รัฐบาลจีนประกาศเดินหน้าควบคุมการผลิตเหล็กดิบอย่างต่อเนื่อง พร้อมห้ามการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ที่ผิดกฎหมายในช่วงปี 2569–2573 เพื่อแก้ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินและความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทานในอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมวัตถุดิบหลักของประเทศ นโยบายดังกล่าวต่อยอดจากแนวทางจำกัดการผลิตที่จีนเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2564 ภายใต้เป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน ในฐานะประเทศผู้ผลิตและผู้ใช้เหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก
การคุมเข้มครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางอุปสงค์เหล็กภายในประเทศที่อ่อนแรงจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซายืดเยื้อ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเผชิญภาวะกำลังการผลิตล้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 การผลิตเหล็กดิบของจีนลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มว่าปริมาณการผลิตทั้งปีจะต่ำกว่า 1,000 ล้านตันเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี
คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ระบุว่า อุตสาหกรรมวัตถุดิบ รวมถึงเหล็ก กำลังเผชิญปัญหาโครงสร้างอุปสงค์และอุปทานที่ไม่สมดุล จึงจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปด้านอุปทานให้เข้มข้นขึ้นในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 ระหว่างปี 2569–2573 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันและคัดกรองผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้สามารถอยู่รอดในตลาด
แม้การส่งออกเหล็กของจีนจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ปี 2566 และช่วยพยุงอุตสาหกรรมจากดีมานด์ในประเทศที่ชะลอตัว แต่การไหลออกของเหล็กราคาต่ำได้กระตุ้นแรงต้านจากหลายประเทศที่เริ่มใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ ล่าสุดจีนเตรียมนำระบบออกใบอนุญาตมาบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2569 เพื่อกำกับดูแลการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเหล็กราว 300 รายการ
ที่มาข่าว : สำนักข่าวอินโฟเควสท์
