SIEMENS WinCC
SIEMENS WinCC
Compressed Air System

พลังงานที่มองไม่เห็น —  ทำไมโรงงานถึงสูญเสียพลังงาน “ระบบลมอัด (Compressed Air System)” มากที่สุด?

Date Post
22.12.2025
Post Views

เพื่อนรู้ไหมครับว่า..ในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป “ระบบลมอัด (Compressed Air System)” คือหัวใจสำคัญที่ใช้ขับเคลื่อนกระบวนการผลิตมากมาย ตั้งแต่ระบบ Pneumatic, ระบบควบคุม  Instrument เช่นในระบบ  Control Valve หรือ ระบบ Actuator เป็นต้น ในเครื่องมือและเครื่องจักรต่างๆ ตลอดไปจนถึงการใช้ลมกระบวนการเป่า แยก แต่เพื่อนๆรู้ไหมว่า..สิ่งที่หลายโรงงานมักไม่รู้คือ?

ระบบลมอัดเป็น หนึ่งในระบบที่สิ้นเปลืองพลังงานมากที่สุดในโรงงาน — คิดเป็น 10–30% ของค่าไฟทั้งหมดเลยนะครับ!

ในหลายๆโรงงานการผลิต “ลมอัด” ด้วยคอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่ หรือ Air Compressor ที่กินไฟระดับ > 100 kW แต่ประสิทธิภาพการใช้งานกลับต่ำกว่าที่คาด เพราะมี “พลังงานสูญเสียที่มองไม่เห็น” อยู่ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การอัดลม การเก็บ การส่ง และการใช้งาน ซึ่งในบทความนี้ทางนายช่างมาแชร์จะขอมาแชร์ความรู้แบบ Step-by-Step ถึงเรื่องระบบลมอัดและจุดที่สามารถปรับปรุงได้ เพื่อเป็นไอเดียต่อยอดเอาไปใช้ในโรงงานของเพื่อนๆกันนะครับ

หลักการทำงานของระบบลมอัด (Compressed Air System)

ในเบื้องต้นขอมาเล่า Basic ของระบบลมอัด (Compressed Air System) กันก่อนนะ ซึ่งโดยทั่วๆไปผมของแบบองค์ประกอบหลักเป็น 5  ส่วนตามด้านล่างนะครับ

  1. คอมเพรสเซอร์ (Air Compressor) – โดยเราอาจจะคุ้นหูกับคำว่า “แอร์คอมพ์” กันนะครับ ซึ่งตัวเครื่องจักรตัวนี้จะทำหน้าที่ “อัดอากาศ และเพิ่มอัตราการไหลจากบรรยากาศให้มีแรงดันสูงขึ้นและส่งไปใช้งานต่อไป” (โดยทั่วไป 6–8 bar(g))
  2. ถังพักลม (Air Receiver Tank) – โดยเจ้าถังพักลมเนี่ยจะทำหน้าที่ในการเก็บลมอัดเพื่อรักษาแรงดันให้คงที่และลดการทำงานถี่ของคอมเพรสเซอร์ให้นิ่งนะครับ 
  3. ระบบปรับปรุงคุณภาพของลมอัด (Air Treatment System) – โดยระบบนี้จะทำหน้าที่ในการปรับปรุงคุณภาพลมอัดให้เหมาะสม และได้มาตรฐานตามสิ่งที่เราจะไปใช้งาน เช่น ระบบนิวเมติกส์ หรือระบบควบคุม เป็นต้น ซึ่งโดยส่วนมากระบบนี้จะประกอบด้วย ชุดทำอากาศแห้ง (Air Dryer) , ชุดกรองอากาศ (Air Filter), หรือชุดดักน้ำมันหล่อลื่น (Oil Separator) เป็นต้นนะครับ
  4. ระบบท่อส่ง (Piping System) – ทำหน้าที่ในการลำเลียงและส่งลมไปยังจุดใช้งานต่าง ๆ ภายในโรงงานนั่นเองครับ
  5. เครื่องจักรหรือระบบที่นำลมไปใช้ (End Use Equipment) – ตัวนี้ก็จะเป็นอุปกรณ์  หรือเครื่องจักรที่เอาลมไปใช้นั่นเองครับ เช่น กระบอกสูบ Cylinder, เครื่องมือหรือวาล์วในระบบส่งกำลัง Pneumatic, พวกระบบควบคุม Instument ต่างๆ พวก Control Valve, Actuator ในอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ลม และตลอดจนอุปกรณ์ช่าง หินเจียร์ลม ประแจลม บล็อคลม และอื่นๆอีกมากมายเลยนะครับ 

แหล่งการสูญเสียพลังงานในระบบลมอัด (Leakage Potential)

โดยในแง่ของวิศวกรรม “พลังงานไฟฟ้าที่ถูกจ่ายให้คอมเพรสเซอร์” จะถูกแปลงเป็น “พลังงานกลเพื่อทำการอัดและส่งอากาศ” แต่เพื่อนๆรู้ไหมว่า ? ประสิทธิภาพของกระบวนการนี้ต่ำมาก โดยทั่วไปเพียง 10–15% ของพลังงานไฟฟ้าจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานลมอัดที่ใช้งานได้จริง ที่เหลืออีกกว่า 85–90% สูญเสียไปในรูปแบบของประสิทธิภาพต่างๆ 

  1. Leakage (การรั่วของลมอัด)
    • เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียพลังงาน โดยเฉลี่ย 20–30% ของลมอัดทั้งหมดรั่วออกจากระบบ
    • จุดรั่วมักอยู่ที่:
      • ข้อต่อท่อ (Fitting / Coupling)
      • Valve / Pressure Regulator
      • Hose ที่เสื่อมสภาพ
      • Quick Connector ที่หลวม
    • ตัวอย่างการคำนวณ:
      รูรั่วขนาด 3 มม. ที่แรงดัน 7 bar → สูญเสียลม ~40 ลิตร/วินาที หรือประมาณ 7–8 kW ของพลังงานไฟฟ้า
  2. Overpressure (แรงดันลมสูงเกินความจำเป็น)
    • ทุก ๆ 1 bar ที่เพิ่มขึ้น ทำให้คอมเพรสเซอร์ใช้พลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 7–10%
    • เครื่องจักรส่วนใหญ่ต้องการเพียง 5–6 bar แต่หลายโรงงานตั้งไว้ 8 bar เพื่อ “กันเหนียว” ซึ่งสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
  3. Pressure Drop (การสูญเสียแรงดันในท่อ)
    • เกิดจากท่อเล็กเกินไป, มีคอขวด, หรือมีฟิลเตอร์ตัน
    • เมื่อแรงดันปลายสายตกลง คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาแรงดันต้นทาง → เปลืองไฟมากขึ้น
  4. Inappropriate Use (ใช้ลมผิดประเภท)
    • ใช้ลมอัดเป่าทำความสะอาด หรือเป่าแห้ง ทั้งที่สามารถใช้ Blower หรือ Venturi Air Knife ที่ประหยัดกว่าหลายเท่า
  5. In-efficient Compressor Control (การควบคุมคอมเพรสเซอร์ไม่มีประสิทธิภาพ)
    • การใช้คอมเพรสเซอร์หลายเครื่องโดยไม่มีระบบควบคุมแบบรวม (Central Controller)
    • ระบบโหลด/อันโหลดที่ทำงานถี่เกินไป
    • ไม่มีระบบ Variable Speed Drive (VSD) ทำให้คอมเพรสเซอร์เดินตลอดเวลาแม้โหลดน้อย

ประเภทของคอมเพรสเซอร์ที่นิยมในโรงงาน (Types of air compressor)

อันนี้ขอเสริมในส่วนของความรู้ในแง่ของประเภทของคอมเพลสเซอร์ลมกันนะครับ

  1. Reciprocating Compressor (แบบลูกสูบ)
    • ให้แรงดันสูง เหมาะกับโหลดที่ไม่ต่อเนื่อง
    • ประสิทธิภาพต่ำกว่าแบบสกรู
    • ใช้งานทั่วไป เช่น โรงซ่อม เครื่องมือช่าง
  2. Screw Compressor (แบบสกรู)
    • นิยมมากในโรงงานอุตสาหกรรม
    • เดินเครื่องต่อเนื่องได้ดี เสียงเงียบกว่า
    • ควรติดตั้งระบบควบคุมและระบายความร้อนที่ดี
  3. Centrifugal Compressor (แบบใบพัดแรงเหวี่ยง)
    • ใช้ในระบบขนาดใหญ่ (มากกว่า 300 kW)
    • ประสิทธิภาพสูงเมื่อโหลดคงที่
    • ต้องการการบำรุงรักษาซับซ้อนและต้นทุนสูง

แนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน

โดยทางนายช่างมาแชร์อาจจะขอมาแนะนำ หรือไกด์แนวทางการทำโครงการประหยัดพลังงาน เพื่อลดต้นทุนสำหรับโรงงานต่างๆกันนะครับ โดยอาจจะขอเสนอไอเดียในการทำโครงการประมาณซัก 4 แบบคร่าวๆกันนะครับ โดย

  1. ตรวจรั่วลมเป็นประจำ (Leak Detection)
    • ใช้เครื่อง Ultrasonic Air Leak Detector ตรวจจุดรั่วทุก 3–6 เดือน
    • ซ่อมแซมทันทีเมื่อพบรอยรั่ว
    • ติดตั้ง Pressure Gauge ทุกโซนเพื่อตรวจแรงดันตก
  2. ควบคุมแรงดันให้เหมาะสม (Regulate Pressure)
    • ตั้งแรงดันไม่เกินความต้องการจริง เช่น จาก 8 bar เหลือ 6.5 bar อาจประหยัดไฟได้ถึง 10% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรนะครับ ถ้าอธิบายในมุมวิศวกรรมคือจะปรับปรุงจุด BEP (Best Efficency Poin) ให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียใน Air Compressor นะครับ
  3. ใช้ระบบควบคุมอัจฉริยะ (Smart Air Management)
    • ใช้ Controller รวมสำหรับหลายเครื่อง
    • ติดตั้ง Variable Speed Drive (VSD) ให้ Air Compressor 
    • ทำระบบ IIoT ให้เหมาะสมกับการใช้งานให้มากที่สุด
  4. นำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ (Heat Recovery)
    • อุณหภูมิของลมออกจากคอมเพรสเซอร์อาจสูงถึง 80–100°C
    • สามารถใช้ทำความร้อนน้ำหรือลมอบชิ้นงาน — ช่วยประหยัดพลังงานได้ 5–10%

บทสรุปการประหยัดพลังงาน:

ระบบลมอัดคือ “พลังงานที่มองไม่เห็น” เพราะเรามักคิดว่าลมคือของฟรี แต่ในความจริงแล้ว “ลมอัดทุกลูกบาศก์เมตรคือค่าไฟฟ้าที่คุณจ่ายไปแล้ว” – นายช่างมาแชร์

การเข้าใจหลักการสูญเสียและจัดการระบบลมอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยโรงงานลดค่าไฟฟ้าได้ 20–40% โดยไม่ต้องลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักร เพียงแค่ รู้จุดรั่ว – ปรับแรงดัน – บำรุงรักษาอย่างถูกวิธี

สุดท้ายก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยเพื่อนๆทำโครงการในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบลม และลดต้นทุนในการใช้ระบบลมกันได้นะครับ ซึ่งปกติทั่วไป ROI (Return of Investment) อาจจะอยู่ 2-4 ปีขึ้นอยู่กับวิธีกันนะครับ ซึ่งหากเพื่อนๆคนไหนมีคำถามสอบถามก็เข้ามาพูดคุยทักทายกันได้นะครับ 

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
สิรวิชญ์​ ศูนย์กลาง ผู้ก่อตั้งเพจนายช่างมาแชร์
วิศวกรผู้หลงใหลในเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ผู้ก่อตั้งสื่ออุตสาหกรรม “นายช่างมาแชร์” แพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจจะทำให้ความรู้ด้านวิศวกรรมซับซ้อน กลายเป็นเรื่องที่อ่านง่าย ใช้งานได้จริง และช่วยยกระดับโรงงานไทยให้มีมาตรฐานระดับสากล ด้วยประสบการณ์จริงจากงานวิศวกรรมโรงงาน, ระบบเครื่องจักร, Automation, ไปจนถึงการวางระบบธุรกิจ B2B — เขาผสมผสานความรู้ทางเทคนิคเข้ากับการสื่อสารเพื่อให้โรงงานสามารถ “ตัดสินใจได้ไวขึ้น ใช้ข้อมูลได้ดีขึ้น และพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น”
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม
ลงทะเบียนร่วมงาน AUTOMATION EXPO