ยาวไปไม่อ่าน
- ระบบ Anti-drone ของไทยมีทั้งแบบติดตั้งถาวร (Area System) และแบบเคลื่อนที่เร็ว (Pin Point System) ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีตรวจจับ RF, เรดาร์, กล้อง EO/IR และระบบรบกวนสัญญาณ RF Jammer กับ GPS Spoofing จุดเด่นอยู่ที่การผสานเซ็นเซอร์หลายชนิดเข้ากับ AI ทำให้ตรวจจับได้แม่นยำและตอบสนองได้ทันเวลา
- ไทยยังพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ทั้งโดรนพลีชีพตระกูล KB และระบบควบคุมขั้นสูงจากภาคเอกชน เช่น ARV และ SKYLLER กฎหมายควบคุมการใช้เทคโนโลยีอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอุปกรณ์รบกวนสัญญาณ ซึ่งใช้ได้เฉพาะหน่วยงานรัฐเท่านั้น เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบการบิน
ท้องฟ้าชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความเครียดและความระแวดระวัง เมื่อโดรนลึกลับ 7 ลำปรากฏตัวใกล้กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้สาธารณชนได้เห็นศักยภาพและความพร้อมของระบบ Anti-drone หรือระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับของกองทัพไทยที่สามารถตรวจจับและสกัดกั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการประกาศห้ามบินโดรนทั่วประเทศถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 แต่ยังเป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของเทคโนโลยีป้องกันประเทศในยุคดิจิทัลที่ประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่มาจากท้องฟ้า
ในโลกปัจจุบันที่โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับกลายเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงได้ง่าย ราคาถูก และมีความสามารถสูงกว่าในสมัยก่อนมาก ภัยคุกคามจากการใช้โดรนในทางที่ผิดจึงเป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องเผชิญ สำหรับประเทศไทยที่มีพรมแดนยาวหลายพันกิโลเมตรติดกับประเทศเพื่อนบ้านหลายเจ้า
การพัฒนาระบบ Anti-drone จึงไม่ใช่เพียงแค่การตอบสนองต่อเทรนด์เทคโนโลยีทั่วโลก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนในการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงแห่งชาติ
การที่ไทยต้องลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี Anti-drone อย่างจริงจังนั้นมีเหตุผลที่ชัดเจน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานการใช้โดรนในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหลายครั้งตามแนวชายแดน ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบขนส่งสินค้าเถื่อน การสอดแนมข้อมูลทางทหาร หรือแม้แต่การก่อวินาศกรรม โดรนที่มีขนาดเล็กและราคาไม่แพงสามารถบรรทุกสินค้าผิดกฎหมาย กล้องความละเอียดสูง หรือแม้แต่วัตถุระเบิดได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของไทยที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีสถานที่สำคัญหลายแห่งที่ต้องการการป้องกันเป็นพิเศษ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ที่เป็นประตูสู่ประเทศต่าง ๆ ของผู้คนและนักลงทุน นอกจากนี้ยังมี ท่าเรือแหลมฉบัง ที่เป็นหนึ่งในท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
รวมถึงโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอื่นๆ การที่โดรนสามารถเข้าใกล้หรือโจมตีสถานที่เหล่านี้ได้จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศอย่างแน่นอน
การป้องกันแบบครอบคลุมพื้นที่กว้างของระบบ Area System
ระบบป้องกันโดรนของไทยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก โดยระบบแรกคือ Area System ที่เป็นการป้องกันแบบพื้นที่คงที่ ระบบนี้ใช้เสาส่งสัญญาณที่ติดตั้งรอบพื้นที่สำคัญ สามารถครอบคลุมรัศมีได้ถึง 9 กิโลเมตร ด้วยการทำงานแบบ 360 องศา ทำให้สามารถตรวจจับและสกัดกั้นโดรนได้มากกว่า 10 จุดพร้อมกัน
การออกแบบระบบ Area System นี้คำนึงถึงการใช้งานในสถานที่ที่มีความสำคัญสูงและต้องการการป้องกันอย่างต่อเนื่อง เช่น สนามบิน ฐานทัพ หรือพื้นที่ยุทธศาสตร์ การทำงานของระบบเป็นแบบอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบโดรนที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาในเขตห้ามบิน ระบบจะรายงานไปยังศูนย์ควบคุมทันทีพร้อมทั้งเริ่มการสกัดกั้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดเวลาในการตอบสนองให้เร็วกว่าที่มนุษย์จะสามารถประมวลผลและตัดสินใจได้
การติดตั้งระบบ Area System ยังมีการกระจายเสาตามจุดยุทธศาสตร์ โดยเสาแต่ละต้นมีระยะการทำงานที่แตกต่างกัน เสาสำหรับการต่อต้านแบบระบุทิศทางสามารถทำงานได้ระยะ 600 เมตร ในขณะที่เสาสำหรับการต่อต้านรอบทิศสามารถครอบคลุมได้ 300 เมตร การวางตำแหน่งเสาเหล่านี้ได้รับการคำนวณอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เกิดโซนป้องกันที่ไม่มีจุดอับ และสามารถสนับสนุนกันได้ในกรณีที่เสาใดเสาหนึ่งขัดข้อง
กองบิน 7 และกองบิน 23 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้งานระบบ Area System ในสถานการณ์จริง เมื่อเกิดความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งสองกองบินได้เปิดใช้งานระบบ Anti-drone เต็มรูปแบบ และประกาศห้ามการบินโดรนในรัศมี 9 กิโลเมตรรอบฐานบิน การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของระบบและความจริงจังในการรักษาความปลอดภัยของสถานที่สำคัญของกองทัพ
ระบบ Pin Point System ความคล่องตัวในการปฏิบัติการ
ส่วนระบบที่สองคือ Pin Point System ที่เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วติดตั้งบนรถยนต์ มีความสามารถในการตรวจหาและต่อต้านโดรนแบบระบุทิศทางได้ในระยะ 2,000 เมตร ความพิเศษของระบบนี้อยู่ที่ความคล่องตัว สามารถเคลื่อนที่ไปยังจุดที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือการลาดตระเวนตามแนวชายแดน
ภายในรถเคลื่อนที่เร็วประกอบด้วยอุปกรณ์ครบครันสำหรับปฏิบัติการ Anti-drone มีเรดาร์สำหรับค้นหาโดรนที่บินเข้ามาในเขตห้ามบิน กล้อง HD ซูม 30 เท่าสำหรับติดตามโดรนเป้าหมาย และเสา Jammer สำหรับสกัดกั้นโดรนด้วยคลื่นสัญญาณ ระบบควบคุมทั้งหมดรวมอยู่ในรถคันเดียว ทำให้ผู้ปฏิบัติการสามารถควบคุมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ภายนอก
การออกแบบระบบ Pin Point มุ่งเน้นความสะดวกในการปฏิบัติงาน สามารถติดตั้งและถอดได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งการป้องกันได้ตามสถานการณ์ ความยืดหยุ่นนี้เป็นประโยชน์อย่างมากในการปฏิบัติการตามแนวชายแดนที่มีความยาวหลายร้อยกิโลเมตร เพราะไม่สามารถติดตั้งระบบคงที่ได้ทุกจุด ระบบนี้จึงทำหน้าที่เป็นหน่วยตอบสนองเร็วที่สามารถเสริมจุดป้องกันได้ตามความต้องการ
เทคโนโลยีการตรวจจับ Radio Frequency
หัวใจสำคัญของระบบ Anti-drone คือเทคโนโลยีการตรวจจับ RF (Radio Frequency) ที่ทำหน้าที่เหมือนเครื่องฟังดักฟังที่ซับซ้อนและแม่นยำ ระบบของไทยสามารถสแกนความถี่ตั้งแต่ 300 MHz ถึง 6,000 MHz โดยมีการตรวจสอบในรัศมี 5 กิโลเมตร ครอบคลุมความถี่ที่โดรนใช้กันทั่วไป เช่น 2.4 GHz, 5.8 GHz และ 900 MHz
สิ่งที่น่าทึ่งของเทคโนโลยี RF Detection คือความสามารถในการระบุสิ่งที่เรียกว่า ‘ลายเซ็นสัญญาณ’ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโดรนแต่ละรุ่น เหมือนกับลายนิ้วมือทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ซ้ำใคร
ระบบสามารถระบุยี่ห้อ รุ่น และแม้แต่หมายเลขเครื่องของโดรนได้จากการวิเคราะห์รูปแบบสัญญาณที่ส่งระหว่างโดรนกับผู้ควบคุม ด้วยความแม่นยำที่สูงถึง 99.9% โดยมีมีอัตราการแจ้งเตือนผิดพลาดต่ำกว่า 0%
**(อัตราการแจ้งเตือนผิดพลาด (False Alarm Rate) ต่ำมากจนเกือบเป็นศูนย์ นั่นคือ ระบบมีความแม่นยำสูงมากในการระบุเหตุการณ์จริง และมีโอกาสแจ้งเตือนผิดหรือตอบสนองผิดพลาดน้อยมาก ๆ)
ข้อดีสำคัญของ RF Detection คือความสามารถในการตรวจจับโดรนทันทีที่เปิดเครื่อง แม้ยังไม่ได้ออกจากพื้นดิน เพราะการเชื่อมต่อระหว่างโดรนกับผู้ควบคุมจะเริ่มขึ้นก่อนการบิน ทำให้เจ้าหน้าที่มีเวลาเตรียมการรับมือและวางแผนการสกัดกั้นล่วงหน้า
นอกจากนี้ ระบบยังสามารถติดตามสัญญาณกลับไปยังผู้ควบคุมได้ โดยใช้เทคนิค triangulation ด้วยเซ็นเซอร์หลายตัวเพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำของทั้งโดรนและผู้ควบคุม
อย่างไรก็ตาม ระบบ RF Detection มีข้อจำกัดในการตรวจจับ ‘โดรนมืด’ หรือโดรนที่บินแบบอัตโนมัติโดยไม่มีการสื่อสารกับผู้ควบคุม ซึ่งเป็นเหตุผลที่ระบบป้องกันโดรนสมัยใหม่จะใช้เซ็นเซอร์หลายประเภทร่วมกัน เพื่อให้สามารถครอบคลุมภัยคุกคามได้อย่างครบถ้วน
ระบบเรดาร์และกล้อง EO/IR การมองเห็นในทุกสภาวะ
เพื่อเสริมความสามารถของระบบ RF Detection ประเทศไทยได้พัฒนาระบบเรดาร์เฉพาะสำหรับตรวจจับโดรนขนาดเล็ก โดยสถาบันวิจัยไทยได้พัฒนาเรดาร์ตรวจจับโดรนรัศมีไกล 2 กิโลเมตร ที่สามารถทำงานได้ในทุกสภาพอากาศและตลอด 24 ชั่วโมง
เรดาร์เหล่านี้ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษให้สามารถตรวจจับเป้าหมายขนาดเล็กที่มี Radar Cross Section (RCS) น้อย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโดรนพาณิชย์ทั่วไป
ระบบเรดาร์สมัยใหม่ที่ใช้ในไทยมีความสามารถใน AI-based classification เพื่อแยกแยะโดรนจากนก เครื่องบิน หรือวัตถุอื่นๆ ลดการเตือนภัยเท็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เรดาร์ยังมีความสามารถใน Low Probability of Intercept (LPI) ทำให้ยากต่อการตรวจจับและรบกวนจากฝ่ายตรงข้าม
กล้อง EO/IR (Electro-Optical/Infrared) ทำหน้าที่เป็นตาของระบบ ให้ภาพที่ชัดเจนทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เพื่อยืนยันเป้าหมายและติดตามการเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ กล้องเหล่านี้สามารถซูมได้ถึง 30 เท่า และมีระบบ Auto-tracking ที่จะล็อกเป้าหมายไว้อัตโนมัติ
แม้ว่าโดรนจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็ตาม ระบบ EO/IR มีความสำคัญในการยืนยันเป้าหมายและลดความเสี่ยงจากการเตือนภัยเท็จ โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อยหรือกลางคืน
การรบกวนสัญญาณ RF Jamming และ GPS Spoofing
เมื่อระบบตรวจจับยืนยันว่าเป้าหมายเป็นภัยคุกคาม ระบบ Anti-drone จะเริ่มกระบวนการสกัดกั้นโดยใช้เทคโนโลยีหลักสองแบบ ได้แก่ RF Jamming และ GPS Spoofing
โดย RF Jamming เป็นการส่งสัญญาณรบกวนในความถี่เดียวกับที่โดรนใช้สื่อสาร ทำให้โดรนสูญเสียการเชื่อมต่อกับผู้ควบคุม เมื่อเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น โดรนส่วนใหญ่จะเปิดใช้ระบบ Return to Home (RTH) โดยอัตโนมัติ กลับไปยังจุดบินขึ้น หรือลงจอดในพื้นที่ปลอดภัย
ระบบ Jammer สามารถรบกวนได้หลายความถี่พร้อมกัน ครอบคลุมสัญญาณควบคุม สัญญาณวิดีโอ และสัญญาณ GPS การรบกวนสัญญาณ GPS จะทำให้โดรนสูญเสียการระบุตำแหน่ง ไม่สามารถใช้ระบบนำร่องได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่การรบกวนสัญญาณควบคุมจะตัดการสื่อสารระหว่างโดรนกับผู้บังคับ ทำให้ไม่สามารถรับคำสั่งใหม่ได้
เทคโนโลยี GPS Spoofing เป็นเทคนิคที่ทันสมัยและซับซ้อนกว่า โดยส่งสัญญาณ GPS ปลอมไปยังโดรน หลอกให้คิดว่าตนเองอยู่ในตำแหน่งที่ผิด ทำให้โดรนบินไปยังจุดที่ต้องการ เช่น พื้นที่ปลอดภัยที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ วิธีการนี้มีข้อดีตรงที่ไม่ทำลายโดรน สามารถนำมาตรวจสอบหาหลักฐานและสืบสวนหาผู้ควบคุมได้
ระบบ GPS Spoofing ได้รับการทดสอบและแสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการนำโดรนไปสู่พื้นที่ที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถสร้างสัญญาณ GPS ปลอมที่ทำให้โดรนคิดว่ามันเข้าไปใน ‘no-fly zone’ และลงจอดโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีนี้ต้องระมัดระวังเรื่องผลกระทบข้างเคียงต่อระบบ GPS อื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง
AI และ Multi-Sensor Fusion
ความทันสมัยของระบบ Anti-drone ของไทยอยู่ที่การบูรณาการเทคโนโลยี AI และ Multi-Sensor Fusion ที่ทำให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพสูง ระบบใช้แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยในการควบคุมและบัญชาการ
ที่สามารถแสดงข้อมูลโดรนเป้าหมายแบบ Real-Time รวมถึงยี่ห้อ รุ่น พิกัดภูมิศาสตร์ ทิศทาง ตำแหน่ง ระยะทาง และความถี่ที่ใช้ควบคุม
ระบบ Multi-Sensor Fusion เป็นการรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์หลายประเภท ได้แก่ เรดาร์ RF detection, EO/IR sensors และเซ็นเซอร์อื่นๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ภาพรวมของสถานการณ์ที่แม่นยำและครบถ้วน การใช้ AI ช่วยในการวิเคราะห์และจำแนกภัยคุกคาม ลดการเตือนภัยเท็จ และเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ
ศูนย์ควบคุมใช้หลักการ single pane of glass ที่ผู้ปฏิบัติการสามารถมองเห็นสถานการณ์โดยรวมและควบคุมระบบต่างๆ ได้จากจุดเดียว การใช้ AI-powered threat assessment ช่วยในการวิเคราะห์และการตัดสินใจอัตโนมัติ ลดเวลาในการตอบสนองจากนาทีเป็นวินาที
ระบบยังสามารถรองรับอุปกรณ์หลายตัวและการจัดการหลายโซน พร้อมทั้งการตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมงทุกสภาพอากาศ
เทคโนโลยี SensorFusionAI (SFAI) ที่ใช้ในระบบสมัยใหม่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของวัตถุ ทำนายเส้นทางการเคลื่อนที่ และประเมินระดับภัยคุกคามได้อย่างชาญฉลาด ระบบยังมีความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวต่อรูปแบบการโจมตีใหม่ๆ ทำให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นได้
การใช้งานจริงและเหตุการณ์ที่กองบิน 21
เหตุการณ์ล่าสุดที่กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้งานระบบ Anti-drone ในสถานการณ์จริง เมื่อหอควบคุมการจราจรทางอากาศได้รับแจ้งว่าพบโดรนไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 7 ลำ
บินใกล้กองบิน ระบบตรวจจับสามารถระบุและติดตามโดรนเหล่านี้ได้ทันที พร้อมทั้งเริ่มขั้นตอนการสกัดกั้น
ผู้บัญชาการทหารอากาศยืนยันว่ากองทัพอากาศมีระบบการตรวจจับอากาศยานไร้คนขับที่พร้อมใช้งาน และได้เปิดปฏิบัติการ Anti-Drone เพื่อสกัดกั้นโดรนเหล่านี้ การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าโดรนที่ถูกสกัดกั้น
ไม่ได้ติดตั้งกล้องสอดแนมหรืออาวุธใดๆ แต่การมีอยู่ของมันใกล้กับฐานทัพยังคงถือเป็นภัยคุกคามที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง
สถานการณ์นี้ทำให้ทางการตัดสินใจออกประกาศห้ามบินโดรนทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม 2568 การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตอบสนองอย่างรวดเร็วและการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ
**ผู้ฝ่าฝืนจะได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากกองบิน 21 แล้ว กองบิน 7 และกองบิน 23 ก็ได้เปิดใช้งานระบบ Anti-Drone เต็มรูปแบบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดน การใช้ระบบนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการป้องกันภัยคุกคามจากโดรนที่อาจมาจากประเทศเพื่อนบ้าน และความพร้อมของกองทัพไทยในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่
ข้อจำกัดทางกฎหมายและการใช้งาน
การใช้เทคโนโลยี Anti-drone ในประเทศไทยมีข้อจำกัดทางกฎหมายและข้อปฏิบัติที่สำคัญ การใช้อุปกรณ์รบกวนสัญญาณ RF Jammer ถือเป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ
National Broadcasting and Telecommunications Commission (NBTC) และสามารถใช้ได้เฉพาะหน่วยงานรัฐที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น การใช้อุปกรณ์เหล่านี้โดยเอกชนหรือองค์กรที่ไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการผิดกฎหมาย
สำหรับการบินโดรนในประเทศไทย มีกฎระเบียบที่เข้มงวด โดรนทุกลำที่มีกล้องติดตั้งต้องได้รับการลงทะเบียนกับทั้ง NBTC และ Civil Aviation Authority of Thailand (CAAT)
การบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาตจะต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ข้อกำหนดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของไทยในการควบคุมการใช้เทคโนโลยีโดรน
การใช้ระบบ Anti-drone ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบข้างเคียง โดยเฉพาะการรบกวนระบบสื่อสารและนำร่องที่อาจส่งผลกระทบต่อการบินพาณิชย์และระบบสื่อสารที่สำคัญ
การใช้ GPS Spoofing ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบ GPS ของยานพาหนะและอุปกรณ์อื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง
ความท้าทายจากฝูงโดรนและเทคโนโลยีในอนาคต
ภัยคุกคามที่ซับซ้อนที่สุดในอนาคตคือการโจมตีด้วยฝูงโดรน (Drone Swarm) ที่สามารถประสานงานกันอัตโนมัติ มีจำนวนมาก และสามารถปรับกลยุทธ์ได้เรียลไทม์
การศึกษาพบว่าฝูงโดรนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการโจมตีได้ถึง 50% ในขณะที่ลดการสูญเสียโดรนจากการป้องกันได้ในอัตราเดียวกัน
เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยกำลังพัฒนาระบบ collaborative defense ที่ใช้ AI, machine learning และการสื่อสารแบบเครือข่ายเพื่อสร้างการตอบสนองที่รวดเร็วและประสานกัน ระบบเหล่านี้ต้องการการประมวลผลแบบเรียลไทม์และการตัดสินใจที่รวดเร็วกว่าความเร็วของมนุษย์
อาวุธไมโครเวฟพลังงานสูง (High-Power Microwave – HPM) เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในการต่อสู้กับฝูงโดรน เนื่องจากสามารถครอบคลุมพื้นที่กว้างและจัดการกับเป้าหมายหลายตัวพร้อมกัน
ระบบ HPM สามารถทำลายโดรนได้มากกว่า 100 ลำในการทดสอบครั้งเดียว และมีต้นทุนต่อการยิงเพียงไม่กี่บาทต่อครั้ง เทคโนโลยีนี้กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศเป็นอันมาก
การใช้ AI-driven sensor fusion ช่วยให้ระบบสามารถแยกแยะและจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายได้อัตโนมัติ ลดภาระงานของผู้ปฏิบัติการและเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง ระบบในอนาคตจะต้องสามารถเรียนรู้และปรับตัวกับกลยุทธ์ใหม่ๆ ได้อัตโนมัติ เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในอนาคต ระบบ Anti-drone ของไทยจะต้องพัฒนาต่อไปเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะฝูงโดรนอัจฉริยะ โดรนที่มีความสามารถในการหลบหลีกการตรวจจับ และเทคโนโลยีการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น การลงทุนในการวิจัยพัฒนา การผลิตเทคโนโลยีในประเทศ และการพัฒนาบุคลากรเชี่ยวชาญ จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์
เทคโนโลยี Anti-drone ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกันภัยคุกคาม แต่ยังเป็นการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี และความมั่นใจในการรักษาอธิปไตยทางอากาศของประเทศ ในยุคที่ภัยคุกคามสามารถมาจากท้องฟ้าได้ทุกเวลา
การมีระบบป้องกันที่ทันสมัยและเชื่อถือได้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความมั่นคงและความอยู่รอดของปวงชนชาวสยามให้ยังคงมีรอยยิ้มดั่งฉายา Land of smile ต่อไป
แหล่งที่มาข้อมูล
nationthailand.com , thailand.prd.go.th , nqdefense.com , scimath.org , szmidjammer.com , ryt9.com , droneshield.com , linkedin.com , netsyncforum.blogspot.com , mdpi.com , militarnyi.com , asianmilitaryreview.com , bangkokpost.com , techsauce.co , arv.co.th , jammermaster.com , fanclubthailand.co.uk , thailand.go.th , juslaws.com , aitechsystems.com , aspistrategist.org.au