SIEMENS WinCC
drug vs supplement thailand fda myths and standards

อุตสาหกรรมยา และอาหารเสริม เส้นขนานเพื่อสุขภาพ เหมือนกันทำไมมาตรฐานต่างกัน ?

Date Post
23.11.2025
Post Views

ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ‘เลข อย.’ บนฉลากอาหารเสริม 

สิ่งนี้มักทำให้ผู้บริโภคเข้าใจสิ่งที่ ‘ไม่เคยถูกการันตีตั้งแต่แรก’ หลายคนหยิบผลิตภัณฑ์ที่มีตัวเลขชุดนั้นติดอยู่บนฉลากขึ้นมาด้วยความรู้สึกอุ่นใจ คิดว่ามันคือสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพที่พิสูจน์แล้ว หรือผลลัพธ์ที่ได้รับรองโดยรัฐ 

แต่เมื่อใช้จริงกลับไม่เห็นผลตามที่โฆษณา ความคาดหวังที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจผิดจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่แท้จริงแล้ว เลข อย. ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เลย 

การจะเข้าใจสิ่งนี้อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปยังระบบการกำกับดูแลอาหารเสริมของไทย ว่ามัน ‘ถูกออกแบบมาเพื่ออะไร’ และ ‘ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่ออะไรบ้าง’

ในประเทศไทย อาหารเสริมถูกจัดให้อยู่ในหมวด ‘อาหาร’ ไม่ใช่ ‘ยา’ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 293 พ.ศ. 2548 คำจำแนกที่ดูเรียบง่ายนี้ ส่งผลให้ทั้งขั้นตอนการอนุมัติและมาตรฐานการตรวจสอบของอาหารเสริมแตกต่างจากยาราวฟ้ากับเหว 

กฎหมายตั้งต้นมองว่าอาหารเสริมมีไว้เพื่อ ‘เติมเต็มสารอาหารหรือเสริมสร้างสุขภาพบางด้าน ไม่ใช่เพื่อรักษาโรค บรรเทาอาการเจ็บป่วย หรือป้องกันความผิดปกติของร่างกาย’ เมื่อเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ไม่ใช่การรักษา ระบบกำกับดูแลก็ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดถึงขั้นต้องพิสูจน์ผลจริงในมนุษย์ 

ผลคือ อาหารเสริมไม่ต้องผ่านการทดลองทางคลินิก แต่ต้องเพียงปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐานเหมือนผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไป

ดังนั้น เลข อย. บนฉลากจึงมีความหมายเพียงว่า ผลิตภัณฑ์นั้นผลิตในโรงงานที่ขออนุญาตถูกต้อง มีความปลอดภัยในระดับพื้นฐาน และมีฉลากที่ให้ข้อมูลครบถ้วนตามกฎหมาย มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรับรองว่า ‘ได้ผลจริง’ 

ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก ขาวขึ้น เสริมภูมิคุ้มกัน หรือฟื้นฟูร่างกาย ตัวเลขนั้นคือใบอนุญาตให้วางขาย ไม่ใช่ใบรับรองประสิทธิภาพ 

แล้วโรงงานผลิตอาหารเสริมพวกนั้นได้ อย. มาได้อย่างไร ?

การจะได้มาซึ่งเลข อย. ผู้ผลิตต้องยื่นข้อมูลส่วนผสม ตรวจสอบความปลอดภัยของวัตถุดิบ และพิสูจน์ว่าไม่มีสารต้องห้าม รวมถึงต้องผลิตในโรงงานที่ผ่านมาตรฐาน GMP แต่กระบวนการนี้ไม่สมบูรณ์พอที่จะบอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นทำงานได้จริงตามคำกล่าวอ้างเลยแม้แต่น้อย

ตัวอย่างง่ายที่สุดคือผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่า ‘บำรุงสายตา’ ผู้ผลิตไม่ต้องแสดงผลการทดลองในมนุษย์ว่ามีใครกินแล้วสายตาดีขึ้นจริง พวกเขาต้องแสดงเพียงว่าในผลิตภัณฑ์มีวิตามินหรือสารที่เกี่ยวกับสุขภาพดวงตา และไม่มีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายเท่านั้น กระบวนการพิสูจน์จึงหยุดอยู่ที่ ‘ความปลอดภัย’ ไม่ใช่ ‘ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้’

ตรงกันข้ามกับผลิตภัณฑ์ยาโดยสิ้นเชิง เพราะยาต้องผ่านการทดลองหลายระยะกับผู้ป่วยจริง มีการตรวจผลข้างเคียง ติดตามข้อมูลจำนวนมาก พิสูจน์ทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย และใช้เวลาหลายปีพร้อมงบประมาณมหาศาล หากยาไม่ได้ผลจริงหรือมีอันตรายสูง ก็จะไม่ผ่านการอนุมัติ ในขณะที่อาหารเสริมต้องพิสูจน์เพียงว่าปลอดภัยต่อการบริโภค ไม่มีสารพิษ ไม่เกินมาตรฐาน และผลิตในสถานที่ที่ได้ใบอนุญาต

แม้ GMP ที่กำหนดให้โรงงานอาหารเสริมต้องปฏิบัติตามจะช่วยคัดกรองเบื้องต้นเรื่องความสะอาด วัตถุดิบ และความสม่ำเสมอในการผลิต แต่ก็ยังเป็นเพียงมาตรฐานพื้นฐานเท่านั้น มันไม่ได้บอกว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูง หรือมีสารสำคัญในปริมาณที่สม่ำเสมอจริงในทุก batch และหลังได้รับเลข อย. แล้ว การตรวจสอบที่เกิดขึ้นซ้ำในภายหลังก็ไม่ได้เข้มงวดเทียบเท่ายา ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เห็นวางขายอาจมีคุณภาพแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งที่มีเลข อย. เหมือนกันทั้งหมด ในขณะที่โรงงานผลิตยาต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน PIC/S GMP ที่เข้มงวดกว่าหลายเท่า ทุกขั้นตอนตั้งแต่วัตถุดิบถึงการกระจายสินค้าอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างละเอียด

ดังนั้น ความหมายที่แท้จริงของเลข อย. คือ 1) โรงงานผลิตถูกกฎหมายและอยู่ภายใต้มาตรฐาน GMP ขั้นพื้นฐาน, 2) ส่วนผสมไม่มีสารต้องห้ามหรือสารอันตราย และ 3) ฉลากให้ข้อมูลถูกต้อง แต่สิ่งที่เลข อย. ไม่ได้หมายความคือการรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะ ‘เห็นผล’ , ‘มีคุณภาพสูง’ หรือ ‘คุ้มค่า’ ตามราคาที่จ่ายไป ความเชื่อที่พบบ่อยว่าสินค้ามีเลข อย. คือสิ่งที่ ‘ได้รับการพิสูจน์’ แล้วนั้นจึงอาจไม่ครอบครุมในด้านของประสิทธิภาพและระยะเวลาที่จะเห็นผล

อาหารเสริม ‘เพื่อเติมเต็มสารอาหารที่ขาด’ ไม่ใช่ ‘ทางลัด’

สุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากอาหารเสริมหนึ่งเม็ด แต่มาจากการกินอาหารที่มีคุณค่าครบหมู่ การออกกำลังกาย การพักผ่อนเพียงพอ และการจัดการความเครียดอย่างสมดุล อาหารเสริมอาจมีประโยชน์ในบางกรณี แต่ไม่ใช่ทางลัด และไม่ใช่ยา หากต้องการใช้อย่างเหมาะสม 

ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือใช้ยา เพราะแม้จะถูกจัดเป็น ‘อาหาร’ แต่อาหารเสริมหลายชนิดก็มีสารออกฤทธิ์ที่สามารถกระทบระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้หากปริมาณมากเกินไป

เมื่อเราเข้าใจบทบาทและขีดจำกัดของเลข อย. อย่างถูกต้อง เราจะไม่ถูกชักจูงด้วยคำโฆษณาที่เกินจริง และจะสามารถปกป้องทั้งสุขภาพและเงินของตัวเองได้ดีขึ้นในระยะยาว อาหารเสริมอาจมีที่ทางของมัน แต่การรู้เท่าทัน คือสิ่งที่ทำให้เรามีเสรีภาพในการเลือกอย่างฉลาดที่สุด

โฆษณาสร้างภาพลักษณ์ให้อาหารเสริมคือ ‘ยาวิเศษ’

แต่เมื่อเรามองลึกลงไปกว่าภาพลักษณ์ของ “ความปลอดภัยพื้นฐาน” ซึ่งเลข อย. ช่วยรับรองให้ เราจะพบว่าโครงสร้างของตลาดอาหารเสริมไทยยังมีจุดเปราะบางอีกชั้นหนึ่ง จุดที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง แต่กลับส่งผลให้ระบบทั้งหมดสั่นไหว 

ช่องว่างระหว่างมาตรฐานขั้นต่ำของรัฐ กับความคาดหวังของผู้บริโภคที่อยากได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจริงและเห็นผลได้จริง ช่องว่างนี้ทรงอิทธิพลจนสามารถปั่นป่วนตลาดได้ทั้งระบบ เพราะกฎหมายของไทยให้ความสำคัญกับ ‘ความปลอดภัยไม่เป็นอันตราย’ มากกว่าการควบคุม ‘คุณภาพเชิงประสิทธิภาพ’ 

ผลลัพธ์คือสินค้าหลายร้อยยี่ห้ออาจผ่านมาตรฐานเดียวกันบนกระดาษ แต่คุณภาพจริงในขวดหรือแคปซูลกลับแตกต่างกันอย่างน่าตกใจ บางยี่ห้อใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงจากแหล่งที่ผ่านการตรวจสอบ แต่บางยี่ห้อกลับใช้เพียงวัตถุดิบราคาถูก หรือปริมาณสารออกฤทธิ์น้อยจนแทบไม่มีความหมาย ทั้งหมดนี้ยังคงอนุญาตให้วางจำหน่ายเคียงข้างกันในร้านค้าภายใต้ฉลากที่ดูแทบไม่ต่างกันเลย

ปัญหายิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อรู้ว่าในระบบปัจจุบัน ไม่มีกฎหมายใดบังคับให้ผู้ผลิตต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในคนจริง ผลิตภัณฑ์จำนวนมากจึงอาศัยเพียงการเลือกวัตถุดิบที่ ‘ฟังดูดี’ หรือ ‘มีงานวิจัยบางอย่างรองรับในระดับห้องทดลอง’ มาใส่ลงไปโดยไม่จำเป็นต้องบอกว่าปริมาณนั้นเพียงพอหรือไม่ 

ในขณะที่งานโฆษณายังคงพูดถึงผลลัพธ์อันล้ำเลิศราวกับมีหลักฐานชั้นหนึ่งรองรับอยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดสิ่งที่คล้ายความปนเปของสินค้าที่มีคุณภาพกับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ(ด้านการแสดงผลลัพธ์ 

ตลาดที่เต็มไปด้วยสินค้าที่พูดเหมือนกัน ใช้คำโฆษณาเหมือนกัน แต่ความจริงภายในกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้ผลิตที่ตั้งใจพัฒนาอย่างจริงจังจึงต้องแข่งขันกับสินค้าที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่า แต่สร้างภาพได้เก่งกว่าในตลาดเดียวกัน

ความไม่สมดุลนี้เด่นชัดที่สุดเมื่อพูดถึง ‘ปริมาณสารออกฤทธิ์’ หรือ active ingredient ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของอาหารเสริม แต่กลับเป็นสิ่งที่กฎหมายไม่ได้บังคับให้ผู้ผลิตต้องระบุอย่างละเอียดหรือควบคุมอย่างเข้มงวด 

ทำให้ผู้ผลิตมีเสรีภาพเต็มที่ในการกำหนดปริมาณที่ต้องการ ตราบใดที่ปริมาณนั้น ‘ไม่เป็นอันตราย’ ไม่ได้ถูกกำหนดว่าต้องมีปริมาณมากพอให้เกิดผลในร่างกายจริง ต่างจากผลิตภัณฑ์ยาโดยสิ้นเชิงที่ต้องระบุปริมาณออกฤทธิ์ชัดเจน ต้องมีมาตรฐานควบคุม และต้องพิสูจน์ว่าปริมาณนั้นใช้ได้ผลจริง

แต่ในตลาดอาหารเสริมกลับไม่เป็นเช่นนั้น ผลิตภัณฑ์สองยี่ห้อที่ใช้สารสกัดชนิดเดียวกันอาจมีปริมาณ active ที่ต่างกันสิบเท่าหรือยี่สิบเท่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และแม้กระทั่งการใช้ปริมาณต่ำเกินกว่าจะเกิดผลลัพธ์ใด ๆ ก็ยังเป็นไปได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ นี่จึงไม่ใช่แค่ปัญหาของการตลาด แต่เป็นอุปสรรคสำคัญในการยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดไทยในสายตานานาชาติ

เมื่อมาตรฐานไม่ชัดเจน งานโฆษณาจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ด้วยความคลุมเครืออีกชั้นหนึ่ง แม้กฎหมายจะ ‘ห้ามอ้างว่าสามารถรักษาโรคหรือบรรเทาอาการป่วยได้’ แต่ความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทำให้ข้อความโฆษณาที่เลี่ยงกฎหมาย เช่น ‘เสริมภูมิคุ้มกัน’, ‘ล้างพิษ’, ‘คืนความอ่อนเยาว์’, ‘ฟื้นฟูสมดุลภายใน’ ยังคงแพร่หลายโดยแทบไม่ต้องแสดงหลักฐานใดยืนยัน

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบางรายยังใช้ภาพผู้เชี่ยวชาญ รีวิวเชิงบวก หรือเทคนิคทางการตลาดที่ทำให้ผู้บริโภคสับสนว่ากำลังเห็นผลลัพธ์จริง หรือเป็นเพียงเรื่องเล่าที่คัดสรรมาเพียงบางด้านท่ามกลางความคลุมเครือเหล่านี้ ผู้บริโภคจึงกลายเป็นผู้รับภาระในการตรวจสอบด้วยตนเอง เพราะระบบไม่ได้พิสูจน์ผลลัพธ์ให้ล่วงหน้า 

การเลือกอาหารเสริมที่อาจมีคุณภาพจริงจึงต้องอาศัยความรู้ การค้นคว้า และการตรวจสอบหลายชั้น ตั้งแต่ดูฉลากว่าระบุปริมาณ active ชัดเจนหรือไม่ ตรวจสอบที่มาของโรงงาน ดูงานวิจัยอิสระที่รองรับ และประเมินฟีดแบกจากผู้ใช้จริงอย่างรอบคอบ ‘ความรับผิดชอบตรงนี้ไม่ควรตกอยู่ที่ผู้บริโภคเพียงลำพัง’ แต่ในสภาพระบบปัจจุบัน มันกลับเป็นทางเลือกเดียวที่มี..

Longevity ไทยพังตั้งแต่ต้นน้ำ ?

แม้ประเทศไทยจะถูกพูดถึงอย่างภาคภูมิว่าเป็นหนึ่งในตลาด Wellness และ Longevity ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ตัวเลขมูลค่าตลาดความงามและสุขภาพกว่า 1.31 ล้านล้านบาท และอัตราการเติบโตที่สูงถึง 28.4% ต่อปี ดูเหมือนจะเป็นหลักฐานยืนยันความสำเร็จอย่างงดงาม แต่หากลองแหวกม่านตัวเลขเหล่านั้นออกและมองเข้าไปในโครงสร้างอุตสาหกรรมจริง ๆ จะพบว่าภายใต้ภาพสวยหรู มีปัญหาหนักที่สะสมอยู่ “ตั้งแต่ต้นน้ำ” ไม่ใช่ปลายน้ำ ไม่ได้เริ่มที่การตลาดหรือการขาย หากแต่เริ่มตั้งแต่ระดับวัตถุดิบ โครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงมาตรฐานการผลิตและงานวิจัย สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยแม้จะมีศักยภาพมหาศาล ก็ยังแข่งขันได้เพียงในระดับภูมิภาค และยังห่างไกลจากการขึ้นไปยืนในฐานะผู้นำตลาด Longevity ระดับโลกอย่างแท้จริง

จุดอ่อนแรกของอุตสาหกรรม Longevity ไทยเริ่มต้นตั้งแต่ดินและไร่สมุนไพร วัตถุดิบที่ควรเป็นจุดแข็งกลับกลายเป็นจุดเปราะบาง ความไม่สม่ำเสมอของคุณภาพสมุนไพรไทยกัดกร่อนความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ไปทีละน้อยโดยที่หลายคนไม่รู้ตัว ตัวอย่างชัดเจนคือฟ้าทะลายโจร สมุนไพรที่ถูกยกขึ้นมาเป็นความหวังด้านภูมิคุ้มกันของคนไทย การศึกษาพบว่าฟ้าทะลายโจรจาก 28 แหล่งปลูกทั่วประเทศ มีปริมาณสารสำคัญ andrographolide แตกต่างกันตั้งแต่ 1.24% ไปจนถึง 3.35% นั่นหมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากแหล่งหนึ่งอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าอีกแหล่งถึงเกือบสามเท่า ทั้งที่ถูกขายภายใต้คำโฆษณาที่ใกล้เคียงกันอย่างน่าตกใจ และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ผู้บริโภคไม่มีทางรู้เลยว่าวัตถุดิบที่อยู่ในแคปซูลหรือเม็ดที่ตนถืออยู่ในมือมาจากที่ใด และมีคุณภาพในระดับไหน

เบื้องหลังความไม่สม่ำเสมอนี้ คือระบบการเพาะปลูกที่ยังอาศัยประสบการณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นมากกว่ามาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ เกษตรกรจำนวนมากไม่ได้รับการสนับสนุนให้คัดเลือกสายพันธุ์พืชที่มีสารออกฤทธิ์สูง ไม่มีแนวทางการเพาะปลูกที่ชัดเจน มีตั้งแต่การใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชมากเกินไปเพื่อเร่งผลผลิต ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผิดช่วงเวลา ทำให้ปริมาณสารสำคัญต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และปัญหานี้ยืดเยื้ออยู่ในสมุนไพรไทยแทบทุกชนิด ไม่ใช่เฉพาะฟ้าทะลายโจร ในขณะเดียวกัน ปัญหาการปนเปื้อนก็ยิ่งตอกย้ำวิกฤตความน่าเชื่อถือ การศึกษาพบว่ายาสมุนไพรที่ไม่มีทะเบียนมีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์สูงถึง 29.4% ส่วนชาสมุนไพรที่ไม่ผ่านมาตรฐานมีอัตราการปนเปื้อนสูงถึง 73.1% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่าระบบควบคุมคุณภาพในระดับต้นน้ำยังอ่อนแออย่างน่ากังวล และไม่เพียงทำให้ผลิตภัณฑ์ในประเทศเสี่ยงต่อคุณภาพเท่านั้น แต่ยังขวางทางการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศที่มีมาตรฐานเข้มงวดอย่างญี่ปุ่น ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องการวัตถุดิบที่ทั้งปลอดภัยและสม่ำเสมออย่างจริงจัง

ต่อให้สามารถฝ่าด่านวัตถุดิบมาได้ ปัญหาที่รออยู่ถัดไปคือขั้นตอนการแปรรูปและสกัดสารสำคัญ ประเทศไทยต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางภูมิอากาศที่มีความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยสูงถึง 70% ในขณะที่หลายประเทศที่เป็นผู้นำด้านการสกัดสารสมุนไพรมีความชื้นเพียงราว 10% ความชื้นที่สูงทำให้การตาก การอบ และการสกัดแบบดั้งเดิมเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อรา การเสื่อมสภาพของสารสำคัญ และทำให้ควบคุมคุณภาพได้ยาก ในโลกที่คู่แข่งใช้เทคโนโลยีการสกัดสมัยใหม่อย่าง supercritical CO₂ extraction ที่ให้สารสกัดบริสุทธิ์สูง ปราศจากสารตกค้าง หรือเทคนิค ultrasound-assisted และ microwave-assisted extraction ที่ให้ปริมาณสารสำคัญมากในเวลาสั้น โรงงานไทยจำนวนมากยังคงยึดติดกับการสกัดด้วยน้ำหรือเอทานอลในถังสแตนเลสแบบดั้งเดิม ซึ่งให้คุณภาพสารสกัดระดับ “ใช้ได้” แต่ไม่ถึงขั้น “แข่งขันได้” ในตลาดพรีเมียมของ Longevity

ความล้าหลังด้านเทคโนโลยีทำให้โรงงานผลิตอาหารเสริมไทยส่วนใหญ่ต้องเลือกทางตันสองเส้น ทางแรกคือการนำเข้าสารสกัดมาตรฐานจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น resveratrol จากองุ่น curcumin จากขมิ้นชัน หรือ NMN ที่กำลังโด่งดังในตลาดชะลอวัย ผลิตภัณฑ์อาจได้คุณภาพที่น่าเชื่อถือขึ้น แต่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงและการสูญเสียข้อได้เปรียบของการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ทางเลือกที่สองคือการใช้สารสกัดที่ผลิตเองในประเทศ แต่มีความเข้มข้นและความบริสุทธิ์ต่ำ ผลิตภัณฑ์จึงดูดีเฉพาะในโฆษณา แต่ไม่สามารถยืนหยัดเทียบกับแบรนด์ต่างชาติที่มีสารสกัดคุณภาพสูงได้จริง

หากมองขึ้นไปอีกระดับที่โรงงานผลิตและมาตรฐานการผลิต ภาพที่เห็นก็ไม่ได้สว่างไส้ไปกว่าต้นน้ำมากนัก แม้ประเทศไทยจะมีโรงงานผลิตยาและอาหารเสริมที่ผ่านมาตรฐาน GMP มากกว่า 150 แห่ง แต่เมื่อมองลึกลงไป จะพบว่าไม่ถึง 10% ของโรงงานเหล่านี้สามารถผลิต Active Pharmaceutical Ingredients หรือ APIs ได้ด้วยตัวเอง โรงงานส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้ผสมสูตรและบรรจุภัณฑ์ โดยต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบถึงประมาณ 90% จากต่างประเทศ ภาพนี้สะท้อนความจริงว่า ไทยยังไม่ได้ยืนอยู่ในฐานะ “ผู้เล่นเชิงเทคโนโลยี” หากแต่เป็น “ผู้รับจ้างผลิต” มากกว่า

และเมื่อพูดถึงมาตรฐานระดับสากล ช่องว่างก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มาตรฐาน GMP พื้นฐานที่ใช้ในไทยยังอยู่ห่างจาก PIC/S GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ประเทศพัฒนาแล้วใช้เป็นเกณฑ์ในการรับรองโรงงานผลิตยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันมีโรงงานไทยที่ได้รับรอง PIC/S GMP เพียง 57 แห่งเท่านั้น ตัวเลขนี้เล็กเกินไปเมื่อเทียบกับความฝันที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดยุโรป ออสเตรเลีย สิงคโปร์ หรือประเทศที่มีกำลังซื้อสูงอื่น ๆ ความต่างระหว่าง GMP ทั่วไปกับ PIC/S GMP ไม่ได้เป็นเพียงรายละเอียดทางเทคนิค แต่คือความต่างด้าน “ระดับความเข้มงวดทั้งระบบ” ตั้งแต่การควบคุมสภาพแวดล้อมห้องผลิต การทดสอบคุณภาพทุก batch การฝึกอบรมบุคลากร ไปจนถึงระบบติดตามย้อนกลับทุกขั้นตอนของการผลิต การยกระดับจาก GMP ธรรมดาไปเป็น PIC/S GMP ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลราว 50–100 ล้านบาทต่อโรงงาน ซึ่งสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลางแล้ว ตัวเลขนี้แทบจะเป็นกำแพงที่ปีนไม่ไหว

อีกฟันเฟืองหนึ่งที่ขาดหายไปจากเครื่องจักร Longevity ไทยคือ “งานวิจัยและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรงพอ” ในตลาด Longevity ระดับโลก ผู้บริโภคไม่ได้มองหาคำโฆษณา แต่เขาต้องการเห็นข้อมูลที่ชัดเจนว่า ผลิตภัณฑ์นั้นทำอะไรกับร่างกายบ้าง มีผลต่อ biomarkers ใดบ้าง เช่น ระดับการอักเสบ ความยาวของ telomeres การเปลี่ยนแปลงใน DNA methylation หรือระดับ NAD+ ภายในเซลล์ ซึ่งล้วนเป็นตัวชี้วัดสำคัญของอายุทางชีวภาพและการชะลอความเสื่อม แต่การทำวิจัยหรือ clinical trial ในระดับนี้ใช้เงินลงทุนระดับหลายสิบหรือหลายร้อยล้านบาท ใช้เวลาเป็นปี และต้องอาศัยทีมวิจัยที่เชี่ยวชาญสูง ประเทศไทยยังแทบไม่มีการลงทุนด้านนี้อย่างจริงจัง ผลิตภัณฑ์ Longevity ส่วนใหญ่จึงอาศัยเพียงการอ้างอิงจากงานวิจัยต่างประเทศ หรือการทดลองเบื้องต้นในหลอดทดลองและสัตว์ ซึ่งยังห่างไกลจากหลักฐานที่ผู้บริโภคระดับบนต้องการ

การขาดงานวิจัยยังทวีความรุนแรงด้วยการขาด “สะพานเชื่อม” ระหว่างมหาวิทยาลัย ภาครัฐ และภาคเอกชน งานวิชาการจำนวนมากจบลงที่ชั้นวางวิทยานิพนธ์ ไม่ได้ถูกต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์จริง ขณะที่ภาคเอกชนจำนวนมากก็ไม่มีงบประมาณหรือความเชี่ยวชาญเพียงพอที่จะทำวิจัยด้วยตนเอง ภาครัฐแม้จะมีนโยบาย สนับสนุนอยู่ในเอกสาร แต่การขับเคลื่อนเชิงปฏิบัติกลับยังไม่ต่อเนื่องพอ เมื่อเทียบกับประเทศอย่างญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ที่มีศูนย์วิจัยเฉพาะทางด้าน Longevity มีโครงการวิจัยระยะยาว และมีโมเดลความร่วมมือแบบจริงจัง จะเห็นได้ชัดว่าไทยยังตามหลังอยู่หลายก้าว

เมื่อพิจารณาภาพรวม ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้กระจัดกระจายอย่างโดดเดี่ยว หากแต่ร้อยเรียงกันเป็น “วงจรอุบาทว์” วัตถุดิบที่ไม่มีมาตรฐานทำให้ไม่สามารถพัฒนาสารสกัดคุณภาพสูงได้ การไม่มีสารสกัดคุณภาพสูงบังคับให้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ การพึ่งพาการนำเข้าเพิ่มต้นทุนและทำให้สินค้าขาดความแตกต่าง เมื่อผลิตภัณฑ์ไม่โดดเด่น ก็ไม่มีแรงจูงใจและทุนทรัพย์ที่จะลงทุนในงานวิจัยและการยกระดับมาตรฐาน เมื่อไม่มีงานวิจัยและมาตรฐานสูง ผลิตภัณฑ์ก็ไม่สามารถทะลุเข้าสู่ตลาดพรีเมียมระดับบนได้ และเมื่อเข้าไม่ได้ ก็ต้องวนกลับไปแข่งขันในตลาดระดับกลาง–ล่างที่เน้นราคาแทนคุณค่า วงจรนี้หมุนวนซ้ำไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดตัด หากไม่มีการแทรกแซงเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ถูกบีบให้แข่งขันในสนามที่ตัวเองไม่ได้เลือก สนามที่ต้องแข่งเรื่องราคา แข่งกับสินค้าจีนและอินเดียที่ต้นทุนต่ำกว่ามาก แต่กลับเข้าไม่ถึงสนามพรีเมียมของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ที่มีกำลังซื้อสูงและให้ส่วนต่างกำไรคุ้มค่ากับการลงทุนในคุณภาพ แบรนด์ไทยจำนวนมากจึงต้องพอใจแค่บทบาท OEM หรือผู้รับจ้างผลิตให้แบรนด์ต่างชาติ รับเพียงเศษเสี้ยวของมูลค่าที่แท้จริง ขณะที่ชื่อเสียงและผลตอบแทนส่วนใหญ่ไหลไปสู่เจ้าของแบรนด์ต่างประเทศ

ในมุมของผู้บริโภคไทย ภาพก็ไม่ได้สดใสกว่านี้มากนัก ผลิตภัณฑ์ Longevity ที่มีคุณภาพสูงและมีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ มักเป็นสินค้านำเข้าที่มีราคาแพง ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศแม้ราคาย่อมเยากว่า แต่ก็ยังขาดหลักฐานที่แข็งแรง มีคำถามเรื่องมาตรฐานต้นน้ำและปลายน้ำ และอาจไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง ผู้บริโภคที่มีทั้งความรู้และกำลังซื้อจึงมักเลือกสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ทำให้เงินจำนวนมากไหลออกนอกประเทศ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ประเทศไทยมีทั้งทรัพยากรสมุนไพรท้องถิ่นและบุคลากรที่สามารถพัฒนาสินค้าคุณภาพสูงได้ด้วยตัวเอง หากโครงสร้างระบบสนับสนุนมากกว่านี้

หากประเทศไทยต้องการเปลี่ยนจาก “ศักยภาพบนกระดาษ” ไปสู่ “ความได้เปรียบจริงในสนามแข่งขัน” ทางออกย่อมต้องเริ่มจากต้นน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องสร้างระบบจัดการวัตถุดิบสมุนไพรที่มีมาตรฐานและตรวจสอบได้ ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีสารออกฤทธิ์สูง การส่งเสริมการเพาะปลูกแบบอินทรีย์และตามมาตรฐาน GAP การสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่แปลงปลูกถึงโรงงานสกัด ไปจนถึงการตั้งศูนย์กลางรับซื้อและตรวจคุณภาพวัตถุดิบที่เป็นกลาง ในด้านเทคโนโลยีการสกัด รัฐและเอกชนอาจต้องร่วมกันลงทุนใน “ศูนย์การสกัดกลาง” ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และเปิดให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถใช้บริการได้ เพื่อลดต้นทุนการลงทุนรายบุคคล และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงอย่างเท่าเทียมกัน

ในระดับโรงงานผลิต รัฐสามารถใช้นโยบายทางการเงินและภาษีเป็นคันโยกในการผลักดัน เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการยกระดับสู่ PIC/S GMP การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่โรงงานที่ลงทุนในระบบควบคุมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การสมทบทุนบางส่วนสำหรับโครงการปรับปรุงโรงงานที่มีศักยภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องมีการตั้ง “กองทุนวิจัย Longevity” ที่มีงบประมาณต่อเนื่องเพียงพอ ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่จบไปพร้อมปีงบประมาณ สนับสนุนทั้งการทำ clinical trial การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการเชื่อมโยงงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเข้าสู่ภาคเอกชนผ่านโมเดลการร่วมลงทุนหรือการแบ่งปันสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา

ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยมากกว่านโยบายที่เขียนสวยในเอกสาร ต้องมีวิสัยทัศน์ระยะยาวและความมุ่งมั่นระดับประเทศที่จะจริงจังกับอุตสาหกรรม Longevity ไม่ใช่เพียง “กระแส” ที่ถูกพูดถึงในงานสัมมนาแล้วก็เงียบหาย ถ้าไม่ลงมือแก้ไขโครงสร้างต้นน้ำอย่างจริงจัง ประเทศไทยจะยังคงอยู่ในสถานะ “มีของดีแต่ใช้ศักยภาพไม่เต็ม” และค่อย ๆ ถูกประเทศอื่นที่เคลื่อนไหวเร็วกว่าอย่างสิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น แซงหน้าไปทีละนิด ในขณะที่เรายังคงปลอบใจตัวเองด้วยตัวเลขมูลค่าตลาดที่เติบโตทุกปี แต่ไม่เคยถามตัวเองตรง ๆ ว่า ในตลาด Longevity ระดับโลก เราเป็น “ผู้นำเกม” หรือเป็นเพียง “ผู้เล่นตัวประกอบ” กันแน่


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม