Theca25
ZEISS
ESG มาตรการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่หลายธุรกิจมองว่ามันคือโซ่ตรวน

ESG เมื่อความยั่งยืนกลายเป็นกฎเหล็ก ที่ทุกธุรกิจต้องเปลี่ยน

Date Post
13.08.2025
Post Views

3 ตัวอักษรอย่าง ESG จะกลายเป็นดาบสองคมที่ทั้งสร้างแรงบันดาลใจ และพร้อม ๆ กับฟันโค่นธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองตามเทรนด์โลก 

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ใครจะไปคิดว่าปัจจุบันความสำเร็จของบริษัทจะไม่ได้วัดจากแค่ผลกำไรในงบการเงินเท่านั้น แต่จะถูกตรวจสอบ ทุกการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม , สังคม , และธรรมาภิบาล

ESG หรือ Environmental , Social and Governance นั้นกำเนิดขึ้นจากความต้องการของนักลงทุนทั่วโลกเพราะต้องการ Check-list ที่ชี้ว่า ธุรกิจไหนจะไปต่อได้ในระยะยาว และธุรกิจไหนจะถูกกระแสเงินทุน หันหลังให้จนแทบไม่มีที่ยืน

ทำไม คนทำธุรกิจต้องสนใจเรื่องนี้ ?

เอกสารของ The World Bank ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2020 เงินลงทุนระดับโลกเริ่มหันหัวเรือ นักลงทุนรายใหญ่ทยอยถอนเงินจากธุรกิจที่สอบตกแบบประเมิน ESG Rating และหันมาทุ่มในตลาด พันธบัตรยั่งยืน (Labeled Sustainable Bonds) อย่างจริงจัง

จนปี 2024 การออกตราสารหนี้ประเภทนี้ทั่วโลกพุ่งแตะ 1.125 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน และมียอดสะสมรวมกว่า 6.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ทำให้กว่า 57% ของเงินทั้งหมดไหลเข้าสู่ Green Bonds เพื่อโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่เงินลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) กลับหดตัวลงหนัก 


สัญญาณเตือนจากข้อมูลเหล่านี้กำลังบอกกับเราว่าเงินทุนระดับ ล้านล้านดอลลาร์ กำลังเลือกอยู่ข้างธุรกิจที่มี E และ S และก็ G


ธุรกิจในไทยเกี่ยวด้วยหรอ ?

มาดูสถานการณ์ในประเทศไทยกันดีกว่าค่ะ โดยข้อมูลจาก The Nation ระบุว่า ในปี 2025 มีบริษัทไทยมากถึง 14 แห่ง ที่ติดอันดับ Top 1% ของ S&P Global CSA Score ระดับโลก

รายชื่อก็มีตั้งแต่ BTS Group Holdings ที่ได้อันดับ 1 ของโลกด้านการขนส่งที่ยั่งยืน และ PTT Global Chemical และ Bangkok Dusit Medical Services ไปจนถึงอีกหลายบริษัทชั้นนำอย่าง Thai Union, Bangchak, และ WHA Corporation 

ตัวอย่างจากบริษัทพี่ใหญ่เหล่านี้ อาจบอกให้เราคิดใหม่ หากเรายังมอง ESG เป็นเรื่องใหม่ และแสดงให้เราเห็นอีกว่า ไทยเราก็ไม่ธรรมดา บนเวทีความยั่งยืนโลก จริง ๆ 

แต่ถึงพี่ใหญ่จะสร้างผลงานบนเวทีโลกแค่ไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อเราดูภาพรวมทั้งหมดพบว่าจาก 865 บริษัท (แบ่งเป็น SET = 640 , MAI = 220 , LiVEx = 5 บริษัท) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย

กลับมีเพียง 169 บริษัท หรือคิดเป็น 19.4% เท่านั้นที่ได้รับการประกาศให้อยู่ในกลุ่ม Thailand Sustainability Investment หรือ THSI ซึ่งหมายความว่ายังมีธุรกิจไทยจำนวนมหาศาลที่ยังไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

แต่ที่น่าตกใจกว่าคือการเปลี่ยนแปลงในปี 2025 ล่าสุดนี้เกิดขึ้นแบบเร่งด่วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คือ Thailand Taxonomy 2.0 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ได้ เพิ่มกฎเกณฑ์ที่กำหนดทิศทางใหม่ของเศรษฐกิจไทยทั้งหมด

เพราะ Thailand Taxonomy 2.0 ใช้ระบบที่เหมือนไฟจราจร ในการจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งเป็น สีเขียว (กิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) สีเหลือง (กิจกรรมเปลี่ยนผ่าน) และสีแดง (กิจกรรมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม)

แล้วแรงกดดันจะมาจากไหนบ้าง ?

นอกจากนโยบายภาครัฐแล้ว แรงกดดันหลักยังมาจากนักลงทุนต่างชาติ ตามการสำรวจของ PwC ประเทศไทยพบว่านักลงทุนต่างชาติใช้ ESG เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อกิจการในไทยมากขึ้น 

โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่บริหารสินทรัพย์รวมมากกว่า 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 49% ของพวกเขาพร้อมที่จะถอนการลงทุนออกจากบริษัทที่ไม่มีการดำเนินการด้าน ESG อย่างเพียงพอ

ที่น่าสนใจคือ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ Trump 2.0 กำลังลดความสำคัญของ ESG แต่เงินลงทุน ESG กลับหลั่งไหลเข้าสู่เอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่ได้ประโยชน์จากการที่จีนลงทุนในโครงการ Belt and Road Green Initiative มูลค่า1.308 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน 60%สำหรับสัญญาก่อสร้าง และ40% สำหรับการลงทุนที่ไม่ใช่ทางการเงิน)

พร้อมกับ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่เตรียมลงทุน 4.2 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มุมมืดของ ESG เมื่อหลายธุรกิจอยากรักโลกแค่เปลือก 

เหรียญมีสองด้านเสมอ ความจริงที่หลายคนยังไม่เห็นก็คือสิ่งที่เรียกว่า การ ‘ฟอกเขียว’ หรือ Greenwashing กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในธุรกิจไทย 

การศึกษาพบว่าการฟอกเขียวเป็นเครื่องมือสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการตลาด การโฆษณา การสร้างวาทกรรมสาธารณะ และการประชาสัมพันธ์ โดยใช้สารพัด ตั้งแต่การปิดบังข้อมูล , การไม่มีหลักฐาน ไปจนถึงการใช้ใบอนุญาตปลอม ฯลฯ

กรณีที่เราเห็นในประเทศไทย เช่น กรณีกลุ่มบริษัทอาหารแปลรูปชื่อดัง ที่ประกาศใช้บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ 100% แต่กรีนพีซประเทศไทยชี้ว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุผสม จำนวนมากยังไม่สามารถรีไซเคิลได้จริงภายใต้โครงสร้างพื้นฐานปัจจุบัน

หรือกิจการปศุสัตว์ที่แม้จะผ่านมาตรฐานบางประการ แต่ยังตรวจพบการปล่อยน้ำเสียที่ไม่ได้บำบัดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ

จะสร้างโอกาสสำคัญใน ESG อย่างไร

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ESG จะกลายเป็นโอกาสสำคัญที่จะดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้าสู่ประเทศ เพราะท่ามกลางความผันแปรของโลก ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งลงทุนที่มีความโดดเด่น

โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีหลายด้านและมีคุณภาพสูงที่สุดในภูมิภาค การที่ธุรกิจไทยมี ESG Rating ที่ดีจึงเป็นจุดขายสำคัญในการดึงดูด FDI

ประเทศไทยต้องกังวลเรื่องอะไร้เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ทำ ESG

จากการประเมิน Corporate Governance Reporting หรือ CGR ประจำปี 2566 พบว่าบริษัทไทยได้เริ่มปรับตัวและรายงานข้อมูล ESG สำคัญ เช่น นโยบายความยั่งยืนระดับองค์กร ประเด็นสำคัญทางธุรกิจ และเป้าหมายการจัดการก๊าซเรือนกระจก แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากลแล้ว ยังมีช่องว่างที่ต้องปรับปรุงอีกมาก

แรงกดดันจากกฎหมาย Corporate Sustainability Due Diligence Directive (CSDDD) ของสหภาพยุโรปที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 25 กรกฎาคม 2567 ซึ่งกำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม

ยิ่งไปกว่านั้น SEC ประเทศไทยกำลังพิจารณาใช้มาตรฐาน ISSB Standards (International Sustainability Standards Board) โดยแบ่งการบังคับใช้ออกเป็นระยะ โดยบริษัทขนาดใหญ่จะต้องเริ่มใช้มาตรฐานนี้ในปี 2026 ขณะที่บริษัทจดทะเบียนอื่นๆ จะตามมาในปี 2027

ในด้านการเงิน ภาคธนาคารไทยก็เริ่มปรับตัวอย่างจริงจัง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้วางกรอบ Sustainable Finance Initiatives for Thailand ที่มีเป้าหมายจะเปลี่ยนแปลงภาคการเงินไทยให้เป็น commercially viable และ sustainable ภายในปี 2025 โดยมีบทบาทสำคัญในการจัดสรรเงินทุนไปสู่การเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในปี 2025 นี้คืออะไร เมื่อดูจากตัวเลข ก.ล.ต. กำลังพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งกองทุน Thai ESGX รวม 37 กองทุน จากบริษัทจัดการ 19 แห่ง ซึ่งจะเสนอขายพร้อมกันในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 พร้อมกับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาทสำหรับผู้ลงทุนที่โยก LTF มาเข้า Thai ESGX นี่เป็นสัญญาณชัดเจนว่าภาครัฐต้องการผลักดันให้เงินลงทุนไหลเข้าสู่บริษัทที่มีการดำเนินงาน ESG ที่ดี

ขณะเดียวกัน กองทุน Thai ESG ปกติที่เปิดให้ลงทุนตั้งแต่ต้นปี 2025 ก็มีวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท โดยต้องถือครองเพียง 5 ปี และไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าภาครัฐกำลังใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนให้เงินลงทุนไหลเข้าสู่ธุรกิจที่มีความยั่งยืน

ปัญหาที่น่ากังวลคือ SMEs หรือธุรกิจขนาดกลางและเล็กของไทยยังขาดความพร้อม จากรายงาน Thairath Sustainability Report 2025 ระบุว่า “เรายังเห็นช่องว่างอย่างมีนัยสำคัญในการดำเนินการด้านความยั่งยืนที่ต้องการทั้งทรัพยากรในการดำเนินงานและการถ่ายทอดความรู้ไปยังวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) และองค์กรในภาคส่วนต่างๆ” นั่นหมายความว่าธุรกิจส่วนใหญ่ของไทยยังไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้

ที่สำคัญคือการขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ การที่ต้องจัดทำรายงาน ESG ตามมาตรฐานสากล การประเมิน Carbon Footprint การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน เหล่านี้ต้องการความรู้เฉพาะทางที่หาได้ยากในตลาดแรงงานไทย ทำให้ต้นทุนการปรับตัวของธุรกิจสูงมาก โดยเฉพาะ SMEs ที่มีงบประมาณจำกัด

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2025 นี้จึงเปรียบเสมือนการแยกแกลบออกจากข้าว ธุรกิจไทยกำลังถูกบีบให้เลือกระหว่างการปรับตัวให้ทันกับมาตรฐาน ESG หรือเสี่ยงที่จะถูกตัดออกจากแหล่งเงินทุน ตลาดส่งออก และโซ่อุปทานระดับโลก การที่ประเทศไทยมีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ยิ่งเร่งรัดให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปอย่างเร่งด่วน

ในท้ายที่สุดแล้ว ESG ไม่ใช่แค่เทรนด์หรือแฟชั่นทางธุรกิจอีกต่อไป แต่กลายเป็นเงื่อนไขการอยู่รอดของธุรกิจในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน เมื่อเงินทุนเริ่มไหลตามทิศทาง ESG เมื่อผู้บริโภคเริ่มใส่ใจความยั่งยืน เมื่อกฎระเบียบเริ่มบีบคั้น และเมื่อสภาพภูมิอากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ธุรกิจที่ยังไม่เตรียมตัวก็เหมือนคนที่ยืนบนน้ำแข็งที่กำลังละลาย ถ้าไม่กระโดดขึ้นเรือลำใหม่ทันที ก็คงต้องจมลงสู่ก้นทะเล และนั่นอาจจะเป็นการจมที่ไม่มีวันกลับมาอีก และขอลาบทความด้วยคำพูดทิ้งท้ายที่ตอบคำถามว่า เราจะหลบ ESG ยังไงที่ว่า 


“ESG ก็เหมือนใบตรวจสุขภาพของธุรกิจ มันบอกเราว่าขาดและต้องปรับปรุงตรงไหน และจะหนีหรือเลี้ยงมันไปทำไมถ้าธุรกิจของคุณโปร่งใส และรักโลกจริง”


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Thailand Lab International 2025