IDA Project
esg survival guide for thai business

เงื่อนไขใหม่ในการอยู่รอด เมื่อ ESG กลายเป็นเช็คลิสต์ที่ธุรกิจไทยไม่อาจมองข้าม

Date Post
09.10.2025
Post Views

มาตรการที่เรียกว่า ESG ซึ่งประกอบด้วยสามองค์ประกอบสำคัญ คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ได้ถูกนำมาใช้เป็น เช็คลิสต์ที่ชี้วัดว่าธุรกิจใดจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ ในยุคปัจจุบัน และจะยิ่งเข้มข้นขึ้นในอนาคต  สำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ยังไม่ได้เตรียมพร้อมนั้น เปรียบเสมือนการยืนอยู่บนธารน้ำแข็งที่กำลังละลายลงอย่างช้า ๆ นี่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของกระแสแฟชั่นทางธุรกิจอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการอยู่รอดในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน

การเปลี่ยนทิศทางเงินลงทุนโลก สัญญาณเตือนที่ชัดเจน

สาเหตุสำคัญที่ธุรกิจต้องหันมาให้ความสนใจในเรื่อง ESG อย่างจริงจังนั้น มาจากทิศทางของเงินทุนทั่วโลกที่กำลังเลือกข้างอย่างชัดเจน เอกสารจาก The World Bank ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เงินลงทุนทั่วโลกได้เริ่มทยอยถอนตัวออกจากธุรกิจที่สอบตกในการประเมิน ESG Rating และหันไปทุ่มเงินลงทุนในตลาดพันธบัตรยั่งยืนมากขึ้นอย่างจริงจัง

ภายในปี 2024 ยอดการออกตราสารหนี้ประเภทนี้ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นไปแตะที่ 1.12 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยยอดสะสมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 6.21 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ที่น่าสนใจคือ กว่า 57% ของเงินทั้งหมดนั้นได้ไหลลงสู่ Green Bond ซึ่งเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ 

ในขณะเดียวกัน สัญญาณเหล่านี้กำลังบ่งบอกว่า เงินลงทุนในตลาดเกิดใหม่กลับหดตัวลงอย่างหนัก นักลงทุนต่างชาติในไทยก็ใช้ ESG เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อกิจการในประเทศไทยมากขึ้นเช่นกัน ตามการสำรวจของ PWC  ถึงแม้ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 จะเริ่มลดความสำคัญของ ESG ลง แต่เงินลงทุนด้าน ESG กลับหลั่งไหลเข้ามาในเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงการ Belt and Road Green Initiative ของจีน มูลค่าสูงถึง 1.33 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนของประเทศไทยนั้น แม้ ESG จะไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยมีบริษัทไทยถึง 14 แห่งที่ติดอันดับ Top 1% ของ S&P Global CSA Score ระดับโลกในปี 2023 (2566) ซึ่งรวมถึง BTH Group Holding ที่ได้อันดับ 1 ของโลกด้านการขนส่งที่ยั่งยืน, PTT Global Chemical, Bangkok Dusit Medical Service, ไทยยูเนี่ยน, บางจาก, และ WHA Corporation แต่เมื่อมองภาพรวมจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด 865 บริษัท มีเพียง 169 บริษัท หรือคิดเป็น 19.4% เท่านั้นที่ได้รับการประกาศให้อยู่ในกลุ่ม Thailand Sustainability Investment (THSI) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ยังมีธุรกิจไทยจำนวนมหาศาลที่ยังไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้

‘ไทยแลนด์ แท็กโซโนมี 2.0’ กฎใหม่ที่กำหนดชะตาการทำธุรกิจ

สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ การเปลี่ยนแปลงแบบเร่งด่วนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นคือ Thailand Taxonomy 2.0 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 กฎเกณฑ์นี้ได้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยทั้งหมด โดยใช้ระบบที่คล้ายกับสัญญาณไฟจราจร  มีการแบ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกเป็น สีเขียว สำหรับกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สีเหลือง สำหรับกิจกรรมที่พร้อมจะเปลี่ยนผ่าน และ สีแดง สำหรับกิจกรรมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากธุรกิจใดตกอยู่ในสถานะ ‘สีแดง’ จะประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การส่งออก และการทำธุรกิจในระดับนานาชาติ แม้ว่าในตอนนี้กฎดังกล่าวยังเป็นแบบสมัครใจ แต่นักวิเคราะห์ก็คาดการณ์ว่าในอนาคตอาจไม่ใช่เช่นนั้น

เส้นทางสู่การปฏิบัติจริง กับการวัดผลและการสื่อสารที่ซื่อสัตย์

เมื่อแรงกดดันจากภาครัฐและนักลงทุนต่างชาติมีมากขึ้น ผู้ประกอบการควรเริ่มต้นอย่างไรให้ทำได้จริงและไม่ซับซ้อน คำตอบคือการเริ่มต้นจากสิ่งที่สามารถวัดได้ สื่อสารได้ และทำได้จริง

          ขั้นตอนแรก คือ วัดคาร์บอนให้ถูกทาง โดยใช้กรอบของ GHG Protocol ซึ่งต้องแยกประเภทการวัดเป็น Scope 1, 2 และ 3 แม้ว่าในวันแรก ๆ อาจไม่จำเป็นต้องวัดให้ครบทุกเม็ด แต่ต้องวางระบบการนับที่ใช้ ‘ภาษาเดียวกับโลก’ เสียก่อน จากนั้นจึงค่อยต่อยอดด้วยมาตรฐานของไทย เช่น เครื่องมือจากองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (TGO) ซึ่งมีแนวทางวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทั้งขององค์กรและของสินค้า

          ขั้นตอนที่สอง คือ รู้จุดรั่วไหลของตนเอง ควรเลือก 3 จุดล่อแหลมที่กินพลังงาน กินวัตถุดิบ หรือสร้างของเสีย แล้วทำการทดสอบมาตรการง่าย ๆ ภายใน 90 วัน เช่น การเปลี่ยนซัพพลายเออร์บรรจุภัณฑ์, การปรับเวลาเดินเครื่อง, หรือการปรับวิธีการขนส่ง จากนั้นจึงจับผลลัพธ์ออกมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจน

          ขั้นตอนที่สาม คือ การกลับไปคุยกับแนวหลังหรือซัพพลายเออร์ โดยแจ้งความต้องการที่จะซื้อของจากคนที่สามารถส่งข้อมูลคาร์บอนมาให้ได้ก่อน ประโยคนี้ควรถูกใส่ลงไปในใบสั่งซื้อ (PO) อย่างสุภาพแต่ชัดเจน

          ขั้นตอนสุดท้าย คือ การสื่อสารด้วยความจริงใจ จัดทำรายงานสั้น ๆ เป็นรายไตรมาส และแสดงกราฟการใช้ไฟฟ้า ขยะ น้ำ พร้อมเป้าหมายระยะสั้น รายงานอาจไม่จำเป็นต้องสวยหรู แต่ต้องเป็นความจริง และควรเริ่มมองหาช่องทางทางการเงินสีเขียว ไม่ว่าจะเป็น Supply Chain Finance หรือสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า

          แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กอย่างร้านกาแฟ SME ในกรุงเทพฯ ปัญหาที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่หลอดพลาสติก แต่เริ่มต้นที่ไฟฟ้าหน้าตู้และแอร์หลังร้าน หากสามารถวัดข้อมูลกิโลวัตต์ต่อวัน ขยะต่อสัปดาห์ หรือต้นทุนต่อแก้วได้ แล้วสลับไปใช้แอร์เบอร์ 5 หรือจัดการสต๊อกเพื่อลดของเสีย ก็สามารถลดคาร์บอนพร้อมกับการลดค่าไฟได้ทันที

นอกจากนี้ การวัดผลยังมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่ซัพพลายเชนระดับโลก ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตเหล็กที่ส่งออกไปยังยุโรป จะไม่สามารถหลีกเลี่ยง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ได้ เนื่องจากลูกค้าปลายทางต้องการรายงานคาร์บอนที่ฝังตัวอยู่ในสินค้า หากไม่มีระบบการวัด โอกาสในการขายยังมีอยู่ แต่กำไรอาจไหลไปกับภาษีคาร์บอนที่ควบคุมไม่ได้ หรือหากบริษัทต้องการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple หรือ Walmart จะต้องแสดงแผนการใช้พลังงานสะอาดและการลดคาร์บอนอย่างจริงจัง เพราะยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีโปรแกรมที่กำหนดให้ซัพพลายเออร์หันไปใช้พลังงานหมุนเวียนและตั้งเป้าหมายที่วัดได้ ใครมีตัวเลขที่ชัดเจน โอกาสปิดดีลก็จะสูงขึ้น

Key Takeaway

แม้ว่า ESG จะเป็นหนทางสู่ความยั่งยืน แต่เหรียญก็มีสองด้านเสมอ อีกด้านหนึ่งที่หลายคนยังไม่เห็นคือสิ่งที่เรียกว่า การฟอกเขียว (Greenwashing) ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในธุรกิจไทย  การฟอกเขียว คือ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการตลาด การประชาสัมพันธ์ หรือการโฆษณา โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การปิดบังข้อมูล, การไม่มีหลักฐานสนับสนุน, หรือการใช้ใบอนุญาตปลอม ตัวอย่างที่เห็นได้ในไทยคือ กรณีของกลุ่มบริษัทอาหารแปรรูปยักษ์ใหญ่ที่ประกาศใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ทางกรีนพีซ ประเทศไทย ได้ออกมาแย้งว่า บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุผสมจำนวนมากนั้นยังไม่สามารถรีไซเคิลได้จริงภายใต้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ท้ายที่สุดแล้ว ในขณะที่ผู้บริโภคเริ่มใส่ใจความยั่งยืน กฎระเบียบเริ่มบีบคั้นมากขึ้น และภูมิอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรง การทำ ESG จึงเป็นมากกว่าเทรนด์ ถ้าหากธุรกิจรู้ถึงความสำคัญและผลกระทบขนาดนี้แล้ว คงมีหลายคนที่คิดว่า ‘ถ้ารู้อย่างนี้ ทำ ESG ตั้งนานแล้ว’


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม