ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังก้าวผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญ ประเทศไทยกลับพบว่าตัวเองติดอยู่ในกับดักในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า สถานการณ์ EV ในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยอาจเจอปัญหาหากยังปล่อยแบรนด์จีนเข้ามาครองตลาดร้อยละ 70 และจีนไม่เพียงแค่จะชนะเท่านั้น หากแต่ยังเขียนกฎของเกมธุรกิจนี้ใหม่ทั้งหมด ด้วยสงครามราคาที่เริ่มเปลี่ยน ‘จากการสร้างโอกาสให้ผู้บริโภค กลายเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย’
ในครึ่งแรกของปี 2025 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยพุ่งสูงขึ้น 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดจดทะเบียนรถ BEV ใหม่ 57,289 คัน คิดเป็น 15% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมด
ตัวเลขที่ดูน่าประทับใจนี้แฝงไปด้วยความไร้เสถียรภาพที่น่ากังวล โดย BYD เพียงค่ายเดียวครอง 40% ของตลาด EV ไทย ขณะที่แบรนด์จีนอื่น ๆ เช่น MG , Neta , GWM ยึดครองส่วนที่เหลือ แทบไม่เหลือพื้นที่ให้แบรนด์อื่นเข้ามาแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ
ที่น่าสนใจคือ BYD มียอดขายเติบโต 49.4% ในเดือนมิถุนายน 2025 และ 630.7% ในเดือนเมษายน 2025 แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการแข่งขันและการตอบสนองของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความน่าสนใจของปรากฏการณ์นี้อยู่ที่การที่รัฐบาลไทยพยายามใช้นโยบาย EV 3.0 และ EV 3.5 เพื่อบังคับให้ผู้ผลิตต่างชาติลงทุนในการผลิตภายในประเทศ
โดยเดิมที ในปี 2025 รัฐบาลกำหนดให้อัตราการผลิตรถในประเทศต่อการนำเข้าอยู่ที่ 1.5 ต่อ 1 แต่พอช่วงกลางปี ยอดขายเริ่มตก และปัญหาสินเชื่อก็รัดตัวขึ้น
ทำให้รัฐบาลต้องเปลี่ยนนโยบายในเดือนกรกฎาคม 2025 อนุญาตให้นับรถที่ผลิตเพื่อส่งออกมาเป็นส่วนหนึ่งของโควต้าการผลิตในประเทศด้วย การเปลี่ยนครั้งนี้สะท้อนว่า ต่อให้รัฐมีแผนชัดเจนแค่ไหน สุดท้ายแล้วตลาดก็ยังเคลื่อนไหวเร็วและควบคุมยากกว่าอำนาจของรัฐ
หรืออีกมุม เราอาจต้องตั้งคำถามว่า ทำไมรัฐบาลยอม ‘ดัดกฎเกณฑ์’ ที่ได้วางไว้ เพื่อประคองอุตสาหกรรม EV ให้รอด แทนที่จะกดให้ตรงตามเป้าเดิม
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตลาดคือสงครามราคาที่รุนแรงจนเกินคาดหมาย แบรนด์จีนหลายค่ายลดราคาเกิน 20% ทำให้รถไฟฟ้าราคาถูกกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปภายในในหลายกรณี
ผลที่ตามมาคือผู้บริโภคได้ประโยชน์ในระยะสั้น แต่แบรนด์ขนาดเล็กเริ่มล้มตายไปทีละราย กรณีของ Neta ที่ส่วนแบ่งการตลาดตกจาก 12% ในปี 2023 เหลือเพียง 4% ในห้าเดือนแรกของปี 2025 และบริษัทแม่ Zhejiang Hozon ล้มละลายอย่างเป็นทางการเมื่อ 19 มิถุนายน 2025 พร้อมหนี้สินรวมเกิน 10 พันล้านหยวน (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ดีลเลอร์ Neta ที่ได้ให้ข้อมูลกับสื่อใหญ่หลายเจ้าว่า หยุดสั่งรถตั้งแต่เดือนกันยายน และขณะนี้กำลังฟ้องบริษัทแม่ สะท้อนถึงความไร้เสถียรภาพในระบบที่ถูกครอบงำโดยการแข่งขันแบบไม่ยั่งยืน
ความเป็นจริงที่รัฐบาลไทยเผชิญคือประเทศต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและการลงทุนจากจีนในขณะที่พยายามรักษาความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ ยอดการลงทุนจากบริษัทจีนในอุตสาหกรรม EV ไทยเกิน 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่การพึ่งพานี้กำลังสร้างความเสี่ยงระยะยาว เมื่อบริษัทจีนเริ่มมีปัญหาการผลิตเกินความต้องการในประเทศต้นทาง และใช้ไทยเป็นตลาดระบายผลิตภัณฑ์ส่วนเกิน ปัญหานี้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อดูจากการที่ยอดส่งออก EV ของไทยยังอยู่ในระดับต่ำมาก เพียง 12,500 คันในปี 2025
แม้รัฐบาลจะคาดหวังว่าจะเพิ่มเป็น 52,000 คันในปี 2026
สิ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุดคือความจริงที่ว่าแม้ไทยจะมีแผนการพัฒนาแบรนด์ EV สัญชาติไทยโดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศกว่า 50% และมีกำหนดเปิดตัวปลายปี 2025
แต่โอกาสในการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่จีนที่มีประสบการณ์การทำสงครามราคาแล้วดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก ไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างการเป็นฐานผลิตให้บริษัทต่างชาติ หรือการพยายามสร้างแบรนด์ของตัวเองในตลาดที่ถูกครอบงำไปแล้ว
คำถามที่เหลืออยู่คือ ไทยจะสามารถใช้แรงส่งจากการเติบโตของตลาด EV เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาว หรือจะกลายเป็นเพียงสนามรบของสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ที่ในท้ายที่สุดแล้วคนไทยอาจต้องจ่ายราคาแพงกว่าที่คิด…
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลเชิงสถิติจาก : Evxl , Reuters , Proliance









