IDA Project
VEGA Instrument
ev crisis reality check 2025 oversupply price war thailand

วิกฤต EV เมื่อความฝัน ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ เผชิญ Reality Check ครั้งใหญ่

Date Post
09.10.2025
Post Views

จากความสดใสสู่การเผชิญหน้ากับความจริง

          อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรหยุดยั้งการเติบโตได้ กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า ‘Reality Check’ ครั้งใหญ่ แม้ว่าการเติบโตของการขาย EV ทั่วโลกยังคงมีตัวเลขที่น่าประทับใจ โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024 ยอดขายได้เพิ่มขึ้นมากถึง 4 ล้านคันต่อปี และมีการคาดการณ์ว่ายอดขายรวมตลอดทั้งปี 2025 จะสูงถึง 22 ล้านคัน หรือคิดเป็นประมาณ 25% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังตัวเลขที่ดูดีเหล่านี้ กำลังมีความน่ากังวลซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นผลกระทบจากการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก

มังกรผงาด: การครองตลาดและความกังวลจากสงครามราคา

ev crisis reality check 2025 oversupply price war thailand 01

          ในสมรภูมิ EV นั้น ประเทศจีนยังคงครองความเป็นผู้นำเบอร์ต้น ด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 53% ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็น 64% ของ EV ที่ขายออกไปทั่วโลก ขณะที่ยุโรปมีส่วนแบ่งตลาด 17% และสหรัฐอเมริกามีเพียง 7% เท่านั้น แต่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของจีนกลับสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่าย เมื่อ BYD ซึ่งเป็นผู้นำตลาด EV ของจีน ได้ประกาศลดราคาลงอย่างดุดันถึง 34% ในรุ่นหนึ่ง และ 20% ในอีกรุ่น การลดราคาครั้งนี้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกขายในราคาเพียง 55,800 หยวน หรือประมาณ 253,000 บาท ซึ่งเป็นการเปิดสงครามราคาที่ทำให้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอื่น ๆ ต้องหันกลับมาลดราคาตาม BYD อย่างเร่งด่วน

วิกฤตการณ์ทำกำไร: เมื่อกำลังการผลิตล้นตลาด

          ปรากฏการณ์สงครามราคาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุหลักมาจากการที่อุปทานของรถยนต์ไฟฟ้ามีความล้นตลาด โดยมีกำลังการผลิตส่วนเกินมาตั้งแต่ปี 2024 อุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนมีความสามารถในการผลิตรถยนต์ได้ถึง 55.5 ล้านคัน แต่มีการใช้กำลังการผลิตไปเพียง 49.5% เท่านั้น สถานการณ์นี้ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับ วิกฤตความสามารถในการทำกำไร (Profitability Crisis) อย่างรุนแรง กำไรขั้นต้นของอุตสาหกรรมได้ลดลงอย่างมากในไตรมาสแรกของปีนี้ เหลือเพียง 5.4% ซึ่งลดลงมากกว่า 40% จากจุดสูงสุดในปี 2021 ขณะที่กำไรของอุตสาหกรรมซัพพลายเออร์ยานยนต์ทั่วโลกลดลงเหลือเพียง 4.7% ในปี 2024

ยักษ์ใหญ่ภายใต้แรงกดดัน: ความท้าทายของค่ายรถทั่วโลก

          แม้แต่ผู้เล่นที่เป็นดาวเด่นของวงการอย่าง Tesla ก็กำลังดิ้นรนอย่างหนัก โดยยอดขายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ลดลงกว่า 13% เหลือ 384,122 คัน และในยุโรปก็ลดลง 27.9% ในเดือนพฤษภาคม สาเหตุมาจากผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งรายสำคัญจากจีน

          สำหรับบริษัทรถยนต์ดั้งเดิม สถานการณ์ยิ่งน่ากังวล Ford คาดการณ์ว่าจะขาดทุนในส่วนของ EV ถึง 5,500 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ขณะที่ General Motors (GM) ก็ได้ลดเป้าหมายการผลิต EV ลงจาก 300,000 คัน เหลือเพียง 250,000 คัน และประกาศเลิกจ้างชั่วคราว 200 คนที่โรงงาน Factory Zero เนื่องมาจากอุปสงค์ของ EV ที่ลดลง บริษัท Stellantis ก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน โดยต้องหยุดการผลิต Dodge Charger Daytona RT ชั่วคราว เนื่องจากภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

          นอกจากนี้ แม้แต่บริษัทที่มุ่งเน้น EV โดยเฉพาะก็ยังประสบปัญหา เช่น Rivian ที่ประกาศลดพนักงานกว่า 3,000 คน และปรับเป้าหมายที่จะเป็น EV 100% ในปี 2030 ลงเหลือ 90-100% โดยจะรวมรถยนต์ Hybrid เข้าไปด้วย ส่วน Siemens ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องชาร์จ EV ก็ประกาศเลิกจ้างถึง 450 คน หรือคิดเป็น 35% ของพนักงาน

ลิเธียมพาราด็อกซ์และผลกระทบจากสงครามการค้า

          ปัญหาใหญ่อีกประการที่สร้างความวุ่นวายให้กับอุตสาหกรรมคือ ราคาแบตเตอรี่ แม้ว่าความต้องการของ EV จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาลิเธียมกลับตกต่ำลงกว่า 90% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาลิเธียมคาร์บอเนตที่เคยสูงถึง 32,694 ดอลลาร์ต่อตันในปี 2023 ตอนนี้ลดลงเหลือเพียง 9,147 ดอลลาร์ต่อตัน คิดเป็นการลดลงถึง 72% สถานการณ์นี้ถูกเรียกว่า “ลิเธียมพาราด็อกซ์” หรือความขัดแย้งอย่างน่าประหลาดใจระหว่างอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ลดลง สาเหตุหลักมาจากความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีน ที่สามารถผลิตลิเธียมคาร์บอเนตได้ในราคา 8,000 ถึง 10,000 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ผู้ผลิตในออสเตรเลียมีต้นทุนสูงกว่าที่ 12,000 ถึง 15,000 ดอลลาร์ต่อตัน ความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ทำให้จีนสามารถครองตลาดและกำหนดราคาได้

          นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ, ยุโรป และจีน ก็มีบทบาทสำคัญ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษี 100% กับ EV จีน ขณะที่ยุโรปเก็บภาษี 37.6% มาตรการเหล่านี้อาจช่วยปกป้องผู้ผลิตในท้องถิ่นได้ แต่ก็ทำให้ราคา EV สูงขึ้น และอาจชะลอการยอมรับการใช้ EV จากผู้บริโภค

Key Takeaway

          ผลลัพธ์ของความวุ่นวายทั้งหมดคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุคของการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ นอกจากการเลิกจ้างพนักงานหลายแสนคนแล้ว หลายบริษัทยังต้องปิดโรงงานและยกเลิกโครงการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อลดต้นทุน ตัวอย่างเช่น Nissan ได้ประกาศเลิกจ้าง 20,000 คนทั่วโลก และ Volkswagen ก็กำลังพิจารณาปิดโรงงานในเยอรมนี

          สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ก็กำลังเผชิญกับปัญหาจากยอดขายรถยนต์โดยรวมที่ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจที่ซบเซาและหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ทำให้เป้าหมายยอดขาย EV ในปี 2024 ต้องลดลงจาก 100,000 คัน เหลือ 80,000 คัน ที่น่ากังวลคือแบรนด์จีนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วอย่าง NETA ก็มีส่วนแบ่งการตลาดลดลงจาก 12% ในปี 2023 เหลือเพียง 4% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ และบริษัทแม่ในจีนก็กำลังเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย

          สิ่งที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2025 สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และความฝันที่เราเคยวาดไว้เกี่ยวกับ “อุตสาหกรรมสีเขียว” หรือรักษ์โลก อาจจะไม่ได้สำเร็จได้อย่างง่ายดายอย่างที่หลายคนคิด อย่างไรก็ตาม อาจมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยหรือทดแทนแบตเตอรี่ EV ได้ในอนาคต


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม