หุ้นแพง! อสังหาริมทรัพย์แพง! ทองคำแพง! สินค้าโภคภัณฑ์แพง! ทุกอย่างแพง! ยกเว้นค่าแรง ในกระเป๋า…. บทความนี้ถ่ายทอดมุมมองและการวิเคราะห์ที่เต็มไปด้วยความกังวลและความเร่งด่วน ต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่สินทรัพย์ทุกอย่างมีราคาสูงเกินจริง ทั้งที่เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดี กูรูการเงินหลายคนมองว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่เรียกว่า ‘Everything Bubble’ หรือฟองสบู่สรรพสินทรัพย์ และหากฟองสบู่ลูกนี้แตกขึ้นมาจริง ๆ มันอาจกลายเป็นวิกฤตขนาดมหึมาที่สุดเท่าที่เราเคยพบเจอมา
ปฐมบท : ฟองสบู่ เงิน ความโลภ วิกฤต
คำว่า ‘ฟองสบู่’ (bubble) ที่ใช้ในเชิงเศรษฐกิจเกิดขึ้นครั้งแรกจากเหตุการณ์ ฟองสบู่ทิวลิปมาเนีย ในเนเธอร์แลนด์ช่วงปี 1634−1637 เหตุการณ์นี้ถือเป็นฟองสบู่ทางเศรษฐกิจที่บันทึกไว้เป็นครั้งแรกในยุคปัจจุบัน เกิดจากการปั่นราคาหัวทิวลิปให้พุ่งสูงขึ้นมากเกินจริง คนก็แห่กันซื้อหัวทิวลิปเพื่อเก็งกำไร จนกระทั่งวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1637 สัญญาซื้อขายก็หยุดชะงักลงเพราะไม่มีผู้ซื้อ ทำให้ราคาทิวลิปดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว
โรเบิร์ต ชิลเลอร์ นักเศรษฐศาสตร์ เขียนไว้ในหนังสือ Irrational Exuberance ของเขาในปี 2000 เขานิยามฟองสบู่ว่า ‘สถานการณ์ที่ข่าวการขึ้นราคากระตุ้นให้นักลงทุนเกิดความกระตือรือร้น ซึ่งแพร่กระจายผ่านทางจิตวิทยาจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่ง ทำให้เกิดการขยายเรื่องราวที่อาจสนับสนุนการขึ้นราคา และดึงดูดนักลงทุนกลุ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแม้จะยังสงสัยในคุณค่าที่แท้จริงของการลงทุน แต่ส่วนหนึ่งก็ถูกดึงดูดเข้ามาด้วยความอิจฉาในความสำเร็จของผู้อื่น และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะความตื่นเต้นของนักพนัน’
เงิน ความโลภ วัฏจักรสู่วิกฤต Wall Street Crash ในปี 1929 วิกฤตตลาดหุ้นยุโรปในปี 1965 วิกฤตต้มยำกุ้งที่สะเทือนตลาดทุนทั้งภูมิภาคเอเชียในปี 1997 วิกฤต Dot-com Bubble ในช่วงปี 1999–2000 กระทั่งวิกฤตซับไพรม์ (Subprime Mortgage Crisis) ฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาในปี 2007 วิกฤตฟองสบู่ สะท้อนการเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดของมนุษยชาติ แต่มนุษย์ไม่เคยชนะความโลภในหัวใจได้เลย วัฏจักรฟองสบู่จึงเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปัจจุบัน : คำเตือนอย่าไว้ใจระบบการเงินเดียว
สัญญาณที่ 1 ความไม่น่าไว้วางใจในระบบการเงินโลกที่เริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อธนาคารแห่งชาติของประเทศต่าง ๆ ออกมาเตือนประชาชนอย่างตรงไปตรงมา เช่น ธนาคารแห่งชาติในภาคพื้นสแกนดิเนเวีย อย่างเดนมาร์ก สวีเดน ได้ออกคำเตือนให้ประชาชนอย่าเชื่อในระบบการเงินเพียงระบบเดียว เช่น การพึ่งพาออนไลน์ทั้งหมด แต่ควรมีการถือเงินสดเก็บไว้บ้าง เผื่อเกิดวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือการเงิน หากคนไทยจะเทียบเงินสดสำรองเผื่อวิกฤต ตามที่ธนาคารกลางเดนมาร์กแนะนำคือ 250 โครนเดนมาร์กต่อคนต่อวัน นั้นหมายความว่า คนไทยจำเป็นต้องมีเงินสดสำรองเผื่อวิกฤต 450,000 บาท เพื่อให้ผ่านวิกฤตไปได้ใน 1 ปี
ฟองสบู่ที่ไม่เคยมีมาก่อน: หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ All-Time High พร้อมกัน
โรเบิร์ต คิโยซากิ (Robert Kiyosaki) ผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง พ่อรวยสอนลูก (Rich Dad Poor Dad) เตือนถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเขาเชื่อว่าฟองสบู่ขนาดมหึมา (Everything Bubble) กำลังจะระเบิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, พันธบัตร, อสังหาริมทรัพย์, ทองคำ, เงิน และแม้แต่บิตคอยน์ โรเบิร์ต คิโยซากิ เชื่อว่า ระบบการเงินโลกกำลังอยู่ในภาวะเปราะบาง โดยมีสัญญาณเตือนหลายอย่าง เช่น เงินเฟ้อที่พุ่งสูง หนี้สาธารณะที่มากเกินไป และการเลิกจ้างงานที่เพิ่มขึ้น
คิโยซากิ มองว่าระบบการเงินปัจจุบันสร้างความร่ำรวยให้กับคนรวย ในขณะที่คนชั้นกลางและคนจนกลับได้รับผลกระทบหนัก เพราะระบบนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเงิน Fiat หรือเงินที่รัฐบาลพิมพ์ออกมาอย่างไม่จำกัด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผลักดันราคาสินทรัพย์ให้สูงขึ้น จนคนทั่วไปเข้าถึงได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่า คิโยซากิ จะคาดการณ์ว่า ตลาดจะพัง แต่ก็มองอย่างมีสติว่านี่เป็นโอกาสมากกว่าภัยคุกคาม โดยยืนยันว่าจะไม่ขาย บิตคอยน์ ทองคำ หรือแร่เงิน ที่มองว่าเป็น Real Money
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในปัจจุบันคือ ยอดของมูลค่าสินทรัพย์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ ณ ปัจจุบันสูงกว่ายอดสูงสุดของฟองสบู่ดอตคอมไปเรียบร้อยแล้วอย่างเป็นทางการ ยิ่งไปกว่านั้น วิกฤตที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์นั้น วิกฤตส่วนใหญ่จะแยกจากกัน เช่น Wall Street Crash และ Dot-com เป็นเรื่องของตลาดหุ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ Subprime Crisis เป็นเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ที่ฟองสบู่แตกก่อนแล้วค่อยลากตลาดหุ้นตามลงมา แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ฟองสบู่นี้เกิดขึ้นพร้อมกันในสองตลาดใหญ่ คือ ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ ทำให้สถานการณ์นี้ถูกเรียกว่า Bubble คูณ 2 และเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตัวเลขชี้วัดความร้อนแรงของตลาด: PBV และ PE
สัญญาณที่ 2 ตัวชี้วัดหลายอย่างที่ส่งสัญญาณเตือนถึงภาวะฟองสบู่ Price to Book Value หรือ PBV ซึ่งคือราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าจริงทางบัญชี ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องบ่งชี้สัญญาณอันตราย โดยในตลาด S&P 500 ปัจจุบันมีค่าเฉลี่ย PBV อยู่ที่ 5.3 เท่า ตัวเลขนี้สูงกว่าค่า PBV ตอนเกิดวิกฤตดอตคอม ซึ่งอยู่ที่ 5.1 เท่า มองมาที่อัตราส่วน P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio) ซึ่งบ่งบอกว่าเราต้องใช้เวลากี่ปีในการคืนทุนหากซื้อหุ้นนั้น ก็พุ่งสูงอย่างน่าตกใจ หุ้น 1 ใน 3 ของ S&P 500 มี P/E สูงถึง 50 เท่า หมายความว่าหากซื้อวันนี้จะต้องใช้เวลา 50 ปีจึงจะคืนทุน
ที่สำคัญคือ มูลค่าตลาด (Market Cap) ของตลาด NASDAQ ซึ่งเป็นตลาดเทคโนโลยี และมีขนาดเล็กกว่า S&P 500 มีมูลค่ามากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าปริมาณเงินสดหมุนเวียน M2 หรือ Currency Circulation ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาถึง 145% ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันชัดเจนว่าราคาหุ้นกำลังอยู่ในภาวะที่แพงมาก
ปริศนาการซื้อ: ใครที่กำลังผลักดันราคา?
ในวงการการเงินมีการแบ่งเงินทุนเป็น Smart Money คือ เงินจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ และ Dumb Money คือ เงินจากนักลงทุนรายย่อยหรือประชาชนทั่วไป ข้อมูลจาก Goldman Sachs ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนรายย่อย (Dumb Money) กำลังซื้อขายกองทุน ETF อย่างมหาศาลและยอดการซื้อพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม สถาบันการเงินมืออาชีพ (Smart Money) กลับกำลังเทขายออกจากตลาด นี่คือความย้อนแย้งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น
สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ข้อมูลการซื้อขายจากวงใน (insiders trade) ซึ่งปกติเป็นกลุ่มผู้บริหารที่ซื้อหุ้นเยอะที่สุด 200 คน ปรากฏว่า ณ ขณะนี้ยอดคำสั่งซื้อของบุคคลเหล่านี้อยู่ที่ 0 คือไม่มีใครซื้อหุ้นเลย ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่แปลก ภาพสะท้อนที่ชัดที่สุด คือ ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีหุ้นอันดับต้นๆของโลก ชาวอเมริกัน และบริษัท Berkshire Hathaway ได้เทขายหุ้นออกหลายตัว เช่น BYD, Apple, และ Bank of America โดยการขายหุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน และเพื่อเพิ่มเงินสดในมือให้สูงเป็นประวัติการณ์ การขายหุ้นเป็นไปตามหลักการบริหารความเสี่ยงของบัฟเฟตต์ โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียด และการประเมินว่าตลาดหุ้นอาจอยู่ในภาวะฟองสบู่

วัฏจักรฟองสบู่ 4 ระยะ: เรากำลังถูกครอบงำด้วยความโลภ
จิม ริคาร์ด (Jim Rickard) กูรูเศรษฐกิจโลกที่เคยคาดการณ์วิกฤตดอตคอมและวิกฤตซับไพรม์ได้ถูกต้อง ได้ออกมาประกาศว่าพวกเราทุกคนกำลังอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่เป็น ‘ภาพลวงตา’ ซึ่งถูกเรียกว่า Everything Bubble วิกฤตจะเกิดขึ้นซ้ำตามรูปแบบเดิม
โดยวัฏจักรการเกิดฟองสบู่แบ่งออกเป็น 4 ระยะ
1. Stealth Phase: เป็นระยะที่ Smart Money หรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาซื้อสินทรัพย์อย่างเงียบ ๆ โดยที่สื่อและคนทั่วไปยังไม่สนใจ
2. Awareness Phase: เริ่มมีคนพูดถึงวงในว่าการลงทุนนี้ทำให้ร่ำรวย
3. Greed Phase (ระยะโลภ): ราคาสินทรัพย์เริ่มพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงจนเก็บความลับไว้ไม่ได้ กลายเป็นที่รับรู้ของคนจำนวนมาก เมื่อทุกคนหันมาลงทุน ราคาจะยิ่งขึ้นสูง และเกิดอาการ FOMO (Fear of Missing Out) หรือการกลัวตกขบวน ทำให้ผู้คนยิ่งอัดเงินเข้าไปในตลาด ซึ่งปัจจุบันโลกกำลังอยู่ในระยะนี้เนื่องจากความคาดหวังต่อราคาหุ้นสูงมาก ร่วมกับตัวเลข PBV 5.3 เท่า และ PE 50 เท่าที่ชี้ชัดถึงความโลภในตลาด
4. Dumping Phase (ระยะเทขาย): Smart Money หรือเงินจากสถาบันการเงินจะเริ่มไหลออกและเทขายสินทรัพย์ทิ้งขนาดใหญ่และรวดเร็ว ซึ่งปรากฏการณ์นี้กำลังมีให้เห็นแล้วในข้อมูลการซื้อขาย
Key Takeaway
สัญญาณที่ 3 สัญญาณที่ 3 การกระจุกตัวของความเสี่ยง มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดตลาด S&P 500 ที่มีมูลค่าสูงถึง 49 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้นที่มีการซื้อกระจุกตัวมากที่สุดคือหุ้นกลุ่ม Tech และ AI เช่น Apple, Microsoft, NVIDIA, Amazon และ Meta ซึ่งมีมูลค่าตลาดเกิน 1 ใน 3 และผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย ส่วนทางกับนักลงทุนรายใหญ่ และสถาบัน ที่ไม่มีคำสั่งซื้อเลย
เช่นเดียวกับ ปรากฏการณ์ราคาทองคำที่ได้ส่งสัญญาณ ‘ฟองสบู่’ มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ‘ฟองสบู่ไม่ยอมแตก และเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น’ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนบางกลุ่มต่อการปรับฐานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สัญญาณของความร้อนแรงเกินจริง หรือ Overbought ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม นั่นคือ นักลงทุนจำนวนมากยังคงเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง แม้ราคาจะปรับขึ้นสูง ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นที่อาจเกินระดับสมดุลไปแล้ว
ความน่ากลัว คือ นักลงทุนบางคนไม่ยอมรับว่าวิกฤตกำลังจะมาถึง ข้อสังเกตและข้อมูลทั้งหมดนี้คือสัญญาณเตือนให้ทุกคนเตรียมความพร้อม มีสติ ไม่ตื่นตระหนก เพราะวิกฤตฟองสบู่ระลอกใหม่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ยังตอบแบบฟันธงไม่ได้ แต่จากประสบการณ์วิกฤตฟองสบู่รอบที่ผ่านๆมา ย้ำเตือนให้เรา “กันไว้ ดีกว่าแก้ แย่แล้วแก้ไม่ทัน…..”










