SIEMENS WinCC
VEGA Instrument
AIS Business

บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลอย่างไร? หากโรงงานเต็มไปด้วยข้อมูลจำนวนมากแบบ Real-Time 

Date Post
19.08.2025
Post Views

ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตามโรงงานอุตสาหกรรมที่เกิดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดข้อมูลจำนวนมากเกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อมูลเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ผลิตที่จะใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจ สร้างศักยภาพในการแข่งขัน และรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ดังนั้นถ้าหากจะบอกว่าโรงงานอุตสาหกรรมเป็นโรงงานผลิตข้อมูลจำนวนมหาศาลก็คงไม่ผิดนัก เจ้าของโรงงาน หรือผู้จัดการโรงงานจะบริหารจัดการข้อมูลเหล่านี้ได้ก็จำเป็นต้องมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลที่ดี สามารถตอบสนองต่อความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงได้แบบ Real-Time มีความเสถียรของข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้บริการ Cloud เพื่อลดต้นทุนการลงทุน และดูแลระบบเครือข่ายเพื่อสร้างความคล่องตัวให้เกิดขึ้น แต่จะเริ่มต้นอย่างไร และมีความท้าทายใดเกิดขึ้นบ้าง ติดตามได้ในบทความกันเลยครับ 

Table of Contents

3 ปัจจัยต้องรู้! เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมนับถอยหลังสู่ Smart Factory!

จากความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า การแย่งชิงซัพพลายเชน การขาดแคลนแรงงานและทักษะที่จำเป็น ไปจนถึงประเด็นด้านทรัพยากรสิ่งแวดล้อมที่มีความเร่งด่วน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนผลักดันให้ผู้ประกอบการมองหาเครื่องมือเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในธุรกิจ และสร้างความยั่งยืนในการแข่งขัน กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ระบบอัตโนมัติเข้ามามีบทบาทในการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

บทบาทของระบบอัตโนมัติในปัจจุบันอาจเรียกว่าเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับการแข่งขันในธุรกิจการผลิตยุคใหม่ เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้สร้างความรวดเร็วในการแข่งขัน และรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปลี่ยนความไม่แน่นอนที่เคยเกิดขึ้นในสายการผลิต ให้กลายเป็นการทำงานที่สามารถคาดคะเนผลลัพธ์แบบจับต้องได้ ทั้งยังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานแบบเดิม ๆ ของแรงงานกับเครื่องจักรที่ต้องใช้เวลา และมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นสูง

แม้หลายคนอาจมีภาพจำเทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นหุ่นยนต์ เครื่องจักร 5 แกน หรือ AMR แต่ในความจริงแล้วยังมีเทคโนโลยีอีกมากที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศการผลิตอัตโนมัติยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์อัจฉริยะ, SCADA, ERP, MES, Digital Twins, โดรน, ระบบกล้องตรวจสอบชิ้นงาน หรือระบบแจ้งเตือนและติดตามการทำงานแบบต่าง ๆ ที่ยังเป็นเครื่องมืออันแสนสำคัญในการบริหารจัดการธุรกิจการผลิต ซึ่งมักจะมีรายละเอียดปลีกย่อยและความซับซ้อนอีกมากมายที่ต้องคำนึงถึง โดยประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาเพื่อทำให้โรงงานที่ใช้งานเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ประสบความสำเร็จ ได้แก่

ความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล 

ไม่ว่าเครื่องจักร เซนเซอร์ หรืออุปกรณ์อื่นใดที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย และมีการแบ่งปันข้อมูล ต้องมั่นใจให้ได้ว่าข้อมูลที่ได้มานั้นมีความถูกต้อง ข้อมูลทั้งหมดควรมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เหมาะสม และในกรณีที่มีการใช้งาน Data Center หรือระบบ Cloud จากภายนอก สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน คือ Data Sovereignty หรืออธิปไตยของข้อมูล ที่ทำให้เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ในการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ต้องกังวลกับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ เช่น การถูกแทรกแซงจากนโยบายภาครัฐของประเทศต้นกำเนิดของผู้ให้บริการ Cloud เป็นต้น

ความสามารถในการตอบสนองต่อสถานการณ์แบบ Real-Time

เครื่องจักรและเครื่องมือต่าง ๆ นั้นมีความต้องการใช้งานทรัพยากรในระบบเครือข่ายที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเร็ว ความเร่งด่วน ขนาดของไฟล์ที่ใช้ ไปจนถึงความหน่วงที่เกิดขึ้นในระบบ การบริหารจัดการทรัพยากรให้เหมาะสมในแต่ละแอปพลิเคชันจึงจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของความพร้อมในการตอบสนองต่อสถานการณ์ และการติดตามข้อมูล รวมถึงการตอบสนองต่อข้อมูลแบบ Real-Time ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างมากสำหรับ Smart Factory

การสร้างความสมดุลระหว่างต้นทุนและคุณภาพที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าภายในระบบนิเวศการผลิตยุคใหม่นั้นมีความต้องการและข้อสงสัยในสายการผลิตที่เกิดขึ้นมากมายตลอดเวลา แต่ข้อจำกัดของการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ คือ ต้นทุนและทรัพยากรด้านทักษะแรงงานที่ใช้ในการขับเคลื่อน ดังนั้นการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะต้องเลือกลงทุนและบูรณาการในภาคส่วนที่มีการจัดลำดับความสำคัญเอาไว้อย่างเหมาะสมเสียก่อน โดยการลงทุนที่เกิดขึ้นจะต้องสอดคล้องกับคุณภาพและประสิทธิภาพการทำงานด้วย

รู้หรือไม่ การใช้งานข้อมูลในโรงงาน

การที่โรงงานในปัจจุบันจะขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven) และระบบอัตโนมัติ เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากการผลิตในรูปแบบดั้งเดิมนั้นมีศักยภาพในการแข่งขันลดน้อยลงไปทุกที ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ คือ เรื่องของการซ่อมบำรุง เดิมทีจะเป็นการจดบันทึกข้อมูลด้วยแรงงาน และเวลาเกิดความเสียหายขึ้นมาก็มักจะใช้ข้อมูลที่มี ซึ่งไม่อาจยืนยันความถูกต้องได้ 100% นั้นมาทำการลองผิดลองถูก (Trial & Error) ผ่านสมมติฐานและประสบการณ์ ซึ่งจะพบว่ากระบวนการแก้ปัญหาในรูปแบบนี้ใช้เวลาที่ยาวนาน ทำให้เกิดการสูญเสียต้นทุน เสียเวลา และบางครั้งไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องตรงจุดอีกด้วย แตกต่างจากการเก็บข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำผ่านระบบอัตโนมัติที่ทำให้สามารถสืบข้อมูลย้อนหลัง (Track Back) ไปยังต้นตอของปัญหา พร้อมทำความเข้าใจบริบท ผลกระทบ และคาดการณ์ผลลัพธ์ได้ การดำเนินการที่เกิดขึ้นจึงมีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และสร้างความคุ้มค่าในต้นทุนได้เป็นอย่างดี

บริหารจัดการข้อมูลสำหรับ Smart Factory อย่างไรจึงจะทำให้เกิดการ Connect และการ Compute ที่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันได้?

หนึ่งในความเชื่อหรือวิธีคิดที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในการลดต้นทุน คือ การพยายามใช้เครื่องมือที่มีราคาถูกลง หรือมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากเป็นพิเศษ ซึ่งอาจจะแลกมาด้วยคุณภาพบางประการ แต่ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการลงทุนเพื่อเพิ่ม OEE หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตจะทำให้เกิดความคุ้มค่าได้มากกว่ามหาศาล เช่น การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตที่อาจลดเวลาผลิตจาก 12 ชั่วโมงต่อวัน เหลือเพียง 8 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้มีเวลาเพิ่มขึ้น 4 ชั่วโมงต่อวัน หรือการผลิตสินค้าเดิม 2 วันจะทำงานได้ 3 กะ หรือในกรณีที่การผลิต 1 ล็อต ใช้เวลา 10 วัน แต่ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อ Optimize กระบวนการผลิตให้ใช้เวลาเพียง 6 วัน สามารถใช้เวลา 4 วันที่เหลือเพื่อรับงานใหม่โดยมีต้นทุนที่แทบไม่แตกต่างจากการทำงานภายใต้กรอบระยะเวลา 10 วัน

แน่นอนว่าภายใต้เงื่อนไขการ Optimize ที่เกิดขึ้นนั้น นอกเหนือจากเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพแล้ว เรื่องของระบบโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อข้อมูลเพื่อให้เกิด Flow การทำงานที่เต็มศักยภาพของระบบเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการประมวลผล (Compute) หรือในเรื่องของการเชื่อมต่อ (Connect) ก็ล้วนแต่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถขับเคลื่อนโรงงานผ่านการใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การประมวลผลและการเชื่อมต่อข้อมูลสำคัญอย่างไรสำหรับ Smart Factory?

หัวใจสำคัญของการทำงานสำหรับเครื่องจักรยุคใหม่นั้นอยู่ที่การประมวลผลข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง CNC, หุ่นยนต์, หุ่นยนต์เคลื่อนที่ ไปจนถึง AIoT ที่ต้องสั่งงานตอบสนองต่อคำสั่งการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องแม่นยำ แต่การประมวลผลที่มีประสิทธิภาพจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากการเชื่อมต่อข้อมูลไร้ประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นความรวดเร็วในการส่งข้อมูลที่เหมาะสมกับแอปพลิเคชัน ความเสถียรของระบบเครือข่ายข้อมูลที่ใช้ การป้องกันความเสียหายของข้อมูลในระหว่างนำส่ง เพื่อให้เกิดความสามารถในการประมวลผลได้อย่างทันท่วงที ยกตัวอย่างเช่น การตรวจจับชิ้นงานที่เสียหายในสายการผลิต หรือการทำงานร่วมกันระหว่างแขนกล ซึ่งข้อมูลที่ล่าช้าจะส่งผลให้เกิดความเสียหายของเครื่องจักร สายการผลิต และชิ้นงานได้ กลายเป็นความสูญเปล่ามูลค่ามหาศาลที่เกิดขึ้น ดังนั้นการประมวลผลและการส่งข้อมูลสำหรับ Smart Factory จึงต้องเกิดขึ้นได้แบบ Real-Time ซึ่งประเด็นเหล่านี้ล้วนอยู่ในขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายข้อมูลสำหรับโรงงานการผลิตทั้งสิ้น

Cloud เครื่องมือสร้างความยืดหยุ่นที่ขาดไม่ได้สำหรับการผลิตยุคใหม่

ในการผลิตสมัยใหม่นั้นเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานด้านเอกสาร หรือข้อมูลที่เกิดขึ้นในระบบ ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมหันมาสร้างเซิร์ฟเวอร์เพื่อบริหารจัดการข้อมูลที่เกิดขึ้น ซึ่งความท้าทายสำคัญ คือ การขยับขยายเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำได้ยาก เนื่องจากต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้งาน Cloud อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้บริการแบบ Hybrid ระหว่าง Cloud กับเซิร์ฟเวอร์ภายในโรงงาน

Cloud เป็นบริการออนไลน์ที่สามารถใช้ในการประมวลผล เก็บข้อมูล หรือซอฟต์แวร์ที่สามารถปรับขยายในการใช้งานได้อย่างรวดเร็วโดย ไม่ต้องกังวลเรื่องการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม ทำให้การใช้ทรัพยากรเพิ่มเติม การติดตั้งแอปพลิเคชัน หรือการดูแลรักษาความปลอดภัยข้อมูลกลายเป็นเรื่องที่บริหารจัดการได้คล่องตัวและสอดคล้องกับการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ทำให้การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้แบบ Real-Time ดังนั้น จำเป็นจะต้องมีระบบ Cloud ที่เชื่อถือได้

Connected Factory

4 ความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับโรงงานยุคใหม่

จะเห็นได้ว่าประเด็นด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับโรงงานยุคใหม่นั้นถูกขีดเส้นในประเด็นต่าง ๆ เอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเส้นที่ขีดเอาไว้นั้นเป็นตัวชี้วัดที่จะบอกได้ว่าธุรกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลวในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากพิจารณาเฉพาะเรื่องของความท้าทายที่เกิดขึ้นสำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับ Smart Factory หรือโรงงานที่ต้องการเริ่ม Transform มาใช้เทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติ จะพบว่าสามารถแบ่งประเด็นได้เป็น 4 หัวข้อหลัก ได้แก่

ความยืดหยุ่นของระบบ

เนื่องจากปริมาณการใช้งานข้อมูลนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจำนวนเครื่องจักรที่ใช้ หรือกำหนดวงรอบกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำความสะอาดระบบ การซ่อมบำรุง ไปจนถึงการทดสอบทั้งระบบเพื่อตรวจสอบความพร้อม กระบวนการที่มีวงรอบในการทำงานเหล่านี้ทำให้ความต้องการใช้งานทรัพยากรระบบเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบวางแผนได้ หรือในกรณีที่มีคำสั่งซื้อฉุกเฉินเข้ามาก็อาจทำให้เกิดการใช้งานที่มากกว่าเดิมก็ได้เช่นกัน ในกรณีที่ระบบเครือข่ายขาดความยืดหยุ่นอาจทำให้เกิดปัญหาและความล่าช้าในการใช้งานได้ รวมถึงการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มเติมอาจส่งผลต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานส่วนขยายที่มีมูลค่าสูงได้ตามมาอีกด้วย

ความปลอดภัยในการใช้งาน

การส่งข้อมูลที่เกิดขึ้นนั้นต้องมั่นใจว่าข้อมูลจะไม่เกิดการรั่วไหลไปสู่ภายนอก หรือเกิด Corrupted Data ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อมูลสำคัญเสียหายหรือไปถึงมือผู้ไม่หวังดีได้ ทำให้การใช้งานระบบเครือข่ายจำเป็นต้องมีมาตรฐานที่คอยควบคุมความปลอดภัย ซึ่งจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายอีกด้วย ทำให้ระบบเครือข่ายสมัยใหม่มักจะมีการติดตั้งระบบด้านความปลอดภัยต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาอีกด้วย

ความเร็วของระบบเครือข่าย

ประเด็นของความเร็วเครือข่ายนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับแอปพลิเคชันที่ใช้งานและขนาดของข้อมูลที่เกิดขึ้น เช่น การตรวจสอบคุณภาพด้วยข้อมูลจากกล้องความละเอียดสูงที่มีข้อมูลขนาดใหญ่แต่อาจไม่ได้มีความเร่งด่วนในระดับสูงสุด ในทางกลับกันเซนเซอร์ตรวจจับควันที่ต้องมีการส่งข้อมูลอย่างต่อเนื่องทุกวินาทีกลับเป็นการส่งข้อมูล On/Off ขนาดเล็กแต่มีความเร่งด่วนและสำคัญอย่างมาก การบริหารจัดการทรัพยากรในระบบจึงต้องคำนึงถึงความเร็วความเร่งด่วนของการใช้ข้อมูลที่แตกต่างกันเหล่านี้ ซึ่งการบริหารจัดการที่ผิดพลาดส่งผลให้เกิดความหน่วง (Latency) ในระบบ เช่น ข้อมูลที่เร่งด่วนอาจไม่สามารถดำเนินการได้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น

ความไว้วางใจในการใช้งาน

เรื่องของ Availability หรือความพร้อมใช้ของระบบเครือข่ายเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อ Smart Factory นั้นต้องมีความพร้อมในการทำงานแบบ 24/7 เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีและสร้างความคุ้มค่าของธุรกิจได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

AIS Business พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ตอบสนองครบทุกมิติความท้าทาย

AIS Business มีความเข้าใจในความท้าทายที่ผู้ประกอบการธุรกิจการผลิตต้องเผชิญหน้าเป็นอย่างดี ด้วยประสบการณ์การทำงานในภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดร่วมกับพันธมิตรในภาคอุตสาหกรรมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสมาคมต่าง ๆ จึงเกิดเป็นโซลูชันที่ถูกออกแบบมาเพื่อโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ AIS Business ได้มีการเปิดตัว AIS Business Network Portal, AIS 5G NaaS และ AIS Cloud ที่สอดคล้องกับความท้าทายในมิติของการผลิตยุคปัจจุบัน ซึ่ง AIS Business นับเป็น NaaS Provider รายแรกในประเทศไทยที่มีบริการทั้งโครงข่ายแบบมีสายและเทคโนโลยีไร้สาย 5G

Factory Data Hub

AIS Business Network Portal ที่สุดของความคล่องตัวในการเชื่อมต่อเครือข่ายไปยัง Cloud และ Data Center

ปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ และโรงงานมีความต้องการเชื่อมต่อข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร สำนักงาน, Cloud หรือการติดตามข้อมูลนอกสถานที่ ไปจนถึงการประมวลผลผ่านเครือข่ายรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายต้องมีความยืดหยุ่น และปรับขยายเพิ่ม-ลด ได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน AIS Business จึงได้พัฒนา AIS Business Network Portal ที่รองรับการเชื่อมต่อคุณภาพสูงเข้ากับ Data Center และบริการต่าง ๆ จากผู้ให้บริการชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ และเข้าถึง Data Center ทั่วโลกได้ทันที เช่น AWS, Amazon, Microsoft Azure และ Huawei เป็นต้น

AIS Business Network Portal เป็นเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายในกลุ่ม Fiber หรือการเชื่อมต่อผ่านระบบที่มีความเร็วและความเสถียรสูง เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลสำคัญหรือมีขนาดใหญ่ผ่านระบบเครือข่ายที่มีความปลอดภัยสูง วิศวกรหรือผู้รับผิดชอบสามารถดำเนินการเองได้ด้วยตัวเองทันทีโดยไม่ต้องเกิดช่วงเวลารอคอย (Waiting Time) อันยาวนาน ซึ่งเกิดจากกระบวนการทางเทคนิคต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินการผ่านผู้ให้บริการที่เป็นกระบวนการทั่วไปในอุตสาหกรรมปัจจุบัน

เปลี่ยนความซับซ้อนในการบริหารจัดการเครือข่ายให้เป็นเรื่องง่าย

AIS Business Portal Network เป็น Network-as-a-Service ที่เป็นเครื่องมือรวบรวมการบริหารจัดการเครือข่ายเอาไว้ในที่เดียว ทำให้การ Monitoring และการปรับแต่งคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น Bandwidth เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีโรงงานกี่แห่ง สำนักงานที่ตั้งแยกออกไป หรือสาขาย่อย ก็สามารถติดตามบริหารการใช้งานเครือข่ายได้ผ่าน Dashboard อัจฉริยะ การเพิ่มความเร็วหรือการตรวจสอบบิลจึงสามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายแค่ปลายนิ้ว

เชื่อมต่อ Cloud ได้ง่ายดายและรวดเร็วใน 3 ขั้นตอน

เดิมทีแล้วการเชื่อมต่อโรงงานหรือธุรกิจเข้ากับ Data Center หรือ Cloud แห่งใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อเพิ่มบริการใช้งาน ย้ายฐานข้อมูล อาจต้องใช้เวลาดำเนินการที่ยาวนานถึง 1 เดือน อาจไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น AIS Business Network Portal ทำให้เกิดการเชื่อมต่อนี้ขึ้นได้ในเวลาเพียง 1 วันทำการ ด้วยการออกคำสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ง่าย ๆ เพียง 3 ขั้นตอน

  1. เลือกผู้ให้บริการที่ต้องการเชื่อมต่อ และเลือกความเร็วการเชื่อมต่อที่ต้องการ
  2. เลือกแผน Subscription ที่ต้องการใช้งาน มีทั้งแบบรายเดือนและรายปีให้เลือกใช้ ซึ่งมีส่วนลดเพิ่มเติมอีกด้วย
  3. ตรวจสอบข้อมูลและยืนยันคำสั่ง

ปรับขยายการใช้งาน Bandwidth ได้ทันที

ในกรณีที่โรงงานต้องการเพิ่ม Bandwidth เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสื่อสารกับ Data Center แบบชั่วคราวสามารถทำได้ทันที จึงสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นฉับพลันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่นการใช้งานเครื่องจักรขนาดใหญ่เต็มระบบพร้อมกัน โดยค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นตามการใช้งานจริง ซึ่งคุณสมบัตินี้สามารถใช้งานได้ทั้ง AIS Business Network Portal และ AIS 5G NaaS เช่น การใช้งานเซนเซอร์ร่วมกับเทคโนโลยีเคลื่อนที่ต่าง ๆ อาทิ AMR หรืออุปกรณ์พกพาในโรงงานแบบเต็มระบบซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่จำเป็นต้องรอการดำเนินการที่ยาวนานอีกต่อไป

Bandwidth Calendar สามารถตั้งเวลาเพิ่ม-ลดการใช้งานล่วงหน้าได้อัตโนมัติ

ในกรณีที่มีวงรอบการใช้งาน Bandwidth ที่เปลี่ยนแปลงสม่ำเสมอ เช่น การซ่อมบำรุงหรือการทำรายงานทดสอบระบบที่ต้องใช้ทรัพยากรเครือข่ายมากกว่าในสถานการณ์ทั่วไป โรงงานสามารถตั้งเวลาเพื่อปรับปริมาณ Bandwidth ล่วงหน้าเป็นประจำตามรอบการใช้งาน ทุกเดือน หรือทุกสัปดาห์ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาปรับทุกครั้งเมื่อถึงเวลาต้องใช้งาน ซึ่งคุณสมบัตินี้ก็สามารถใช้งานได้ทั้ง AIS Business Portal Network และ AIS 5G NaaS เช่นกัน

Smart Warehouse

AIS 5G NaaS บริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายไร้สายแบบ Real-Time สอดคล้องกับหน้างานจริง!

 จากประสบการณ์ของ AIS Business เข้าใจถึงความต้องการจากโรงงานที่ต้องการปรับเปลี่ยนทรัพยากรในเครือข่าย เช่น ความจุ (Bandwidth) ของเครือข่าย 5G เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง แต่เดิมการปรับแต่งและปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นใช้เวลาในการดำเนินการที่ยาวนานจากขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง AIS Business ได้ตอบสนองต่อเสียงของลูกค้าด้วยการพัฒนาบริการ 5G Network-as-a-Service (5G NaaS) ขึ้นมา แม้ว่าจะมีคุณสมบัติในการบริหารจัดการเครือข่ายที่คล้ายกับ AIS Business Network Portal แต่ 5G NaaS นั้นถูกออกแบบมาเพื่อทำให้ใช้ศักยภาพของ 5G ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยเฉพาะ ซึ่งจุดเด่นของ 5G NaaS จาก AIS Business สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 คุณสมบัติหลัก ได้แก่

Network Slicing ที่สอดคล้องกับความต้องการแบบ Real-Time

เทคโนโลยีบริหารจัดการเครือข่าย Network Slicing นั้นสามารถแบ่งช่องทางสัญญาณในการใช้งานแต่ละแอปพลิเคชันได้อย่างเหมาะสมลงตัว เช่น การแบ่ง Bandwidth สำหรับการส่งข้อมูลขนาดเล็กที่ต้องการความรวดเร็วสูง และข้อมูลขนาดใหญ่ที่อาจต้องการความเร็วปานกลาง เพื่อให้ข้อมูลทั้งสองชนิดที่ต้องการทรัพยากรแตกต่างกันไม่เบียดบังกันเอง เรียกว่าเป็นการบริหารจัดการข้อมูลแบบ Real-Time รวมถึงการแบ่งแยก Traffic ข้อมูลที่วิกฤติและไม่วิกฤติแยกออกจากกัน

แก้ปัญหาความหน่วง ลดการเกิดคอขวดในระบบ

ความสามารถในการบริหารจัดการ Bandwidth ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเงื่อนไขสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาการลดคอขวดในการส่งข้อมูลที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่าย ปัญหาคอขวดทำให้เกิดความหน่วงในการส่งข้อมูล ส่งผลให้เกิดปัญหากับแอปพลิเคชันที่ต้องการการตอบสนองแบบ Real-Time เช่น ระบบตรวจสอบความเสียหาย ระบบดับเพลิง การตอบสนองของหุ่นยนต์ในการทำงานและสภาพแวดล้อม รวมถึงการแจ้งเตือนและการประมวลผลในการทำงานต่าง ๆ

สามารถตอบสนองต่อแอปพลิเคชันสมัยใหม่ในโรงงานได้เป็นอย่างดี

คุณสมบัติที่สำคัญของ 5G NaaS อีกประการหนึ่ง คือ ความสามารถในการใช้งานกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น IIoT, AMR, หุ่นยนต์อุตสาหกรรม, Machine Vision หรือ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเสริมเพิ่มเติม หรือเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างลงตัว

Factory Data Center

AIS Cloud ความมั่นใจในศูนย์ข้อมูลแบบไทย ๆ ที่เพิ่มความคล่องตัวให้กับผู้ประกอบการ

AIS Cloud เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลยุคใหม่ที่ดำเนินการโดยบริษัทคนไทย มีศูนย์ข้อมูลหลักและสำรองตั้งอยู่ในประเทศไทย ตอบโจทย์การกำกับดูแลภายใต้กฎหมายไทย พร้อมรองรับ Workload ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่มีบริการ Cloud  ตั้งอยู่ในต่างประเทศทำให้มีประเด็นในเรื่องความหน่วงข้อมูล และความไม่สะดวกในทางธุรกิจหลากหลายกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่ง AIS Cloud ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจเหล่านี้ โดยมีจุดเด่น 4 ประการ ได้แก่

Hyperscale Cloud ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย

AIS Business เปิดตัว Hyperscale Cloud ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบเป็นที่แรก แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทางธุรกิจหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคนิค เช่น ความเร็วและความหน่วงในการตอบสนองระหว่างแอปพลิเคชันในโรงงานกับ Cloud ที่แตกต่างจาก Data Center ที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นยังอยู่ภายใต้หน่วยเงินบาทของไทย ทำให้ธุรกิจไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายจากอัตราแลกเปลี่ยน

การควบคุมภายใต้กฎหมายไทยแท้ ๆ

การที่ Hyperscale Cloud จาก AIS ตั้งอยู่ในประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัทไทย ทำให้กฎหมายที่ควบคุมดูแลเป็นกฎหมายของประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการมีความคุ้นเคยและมีความเข้าใจมากกว่าบริบทกฎหมายจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการออกเอกสารดำเนินการด้านภาษี ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับการดำเนินการของธุรกิจในประเทศไทยอีกด้วย

ยกระดับความปลอดภัยในการใช้งาน 5G/Fiber Optic

เมื่อ Data Center ตั้งอยู่ในประเทศไทย ภายใต้การดูแลของบริษัทสัญชาติไทยอย่างเต็มรูปแบบ การจัดการด้านความปลอดภัยต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการติดต่อขอรับบริการหลังการขายต่าง ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไร้กำแพงด้านภาษาและวัฒนธรรมที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ให้บริการที่อยู่ในต่างประเทศ

สามารถใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในการผลิตได้อย่างเต็มศักยภาพ

ด้วยการออกแบบระบบนิเวศของ Cloud จาก AIS Business ที่มีการพัฒนาและเติบโตเคียงข้างกับผู้ประกอบการมาอย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถรองรับแอปพลิเคชันการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็น ERP, MES หรือการวิเคราะห์โดยใช้ AI ที่มีความซับซ้อนและต้องทำงานร่วมกับอุปกรณ์จำนวนหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นในโรงงานพร้อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ เป็นหนึ่งเดียวกัน

จะเห็นได้ว่า AIS Cloud สามารถรองรับความท้าทายที่เกิดขึ้นสำหรับภาคธุรกิจได้อย่างครบมิติ เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขัน และเริ่มต้นใช้งานเทคโนโลยีระดับโลกได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น  

การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?

คำถามสำคัญในวันนี้ คือ การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลโรงงานสร้างความแตกต่างได้มากน้อยแค่ไหน? แล้วกรณีศึกษาดังกล่าวน่าเชื่อถือเพียงใด? ในวันนี้ขอยกตัวอย่างกรณีของ GE (General Electric) ที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นตัวอย่างครับ

กรณีศึกษาจาก GE ในการบริหารจัดการโรงงานไฟฟ้าทั่วโลก

ศูนย์ดิจิทัลแห่งใหม่ของ GE มีการใช้ข้อมูลจากโรงงานไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบปัญหาและประหยัดเงินด้วยการมอนิเตอร์และวิเคราะห์ปัญหาด้วยการประมวลผล 200 ล้านตำแหน่งข้อมูลในทุกวันอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์กว่า 1 ล้านตัวจากโรงงาน 900 แห่ง ใน 60 ประเทศ ซึ่งโรงงานแต่ละแห่งมีเซนเซอร์ประมาณ 10,000 ตัว ที่มีการเก็บข้อมูลด้วยความถี่ที่ 250 มิลลิวินาที สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณการเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจำนวนมหาศาล ซึ่งต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแรงเพื่อให้ข้อมูลสามารถนำมาใช้งานต่อได้ ด้วยการทำ Network Slicing เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลได้อย่างเหมาะสม และการบริหารจัดการ Bandwidth ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

ความต้องการหลักในการใช้งานเซนเซอร์จำนวนมหาศาลเหล่านี้ เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นจากค่าปรับมูลค่ากว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากการที่ไฟฟ้าไม่สามารถเชื่อมต่อกับกริดได้ หากมีการเก็บข้อมูลแบบต่อเนื่องดังที่เกิดขึ้น GE จะสามารถการตรวจพบปัญหาก่อนเกิดขึ้นจริงได้ ทำให้ธุรกิจไม่ต้องเผชิญหน้ากับค่าชดเชยที่อาจเกิดขึ้นได้จำนวนมหาศาล 

เริ่มต้นก้าวเข้าสู่ Smart Factory ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เริ่มต้นกับบริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจาก AIS Business

บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับโรงงานยุคใหม่หรือ Smart Factory จาก AIS Business นั้นเกิดขึ้นมาบนพื้นฐานของความเข้าใจใน Pain Point ของผู้ประกอบการที่ต้องการวางรากฐานการใช้งานระบบอัตโนมัติ สายการผลิตอัจฉริยะ หรือการใช้งาน AI ซึ่งเพียงแค่การลงทุนเทคโนโลยีในการผลิตก็มีมูลค่ามหาศาลอยู่แล้ว โดยไม่รวมต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่อาจจะมีความซับซ้อนและรายละเอียดยิบย่อยเพิ่มเข้ามาอีกจำนวนมาก ดังนั้นโซลูชันจาก AIS Business ที่มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรจะช่วยควบคุมต้นทุนในการใช้งานได้เป็นอย่างดี ทั้งยังลดเวลาในการบูรณาการและทดสอบระบบลงได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องทางเทคนิคต่าง ๆ อีกด้วย

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจการผลิตหรือโรงงานที่สนใจบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลจาก AIS Business ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เช่น AIS Business Network Portal, AIS 5G NaaS, AIS Cloud และ Hyperscale Cloud สัญชาติไทยแท้ที่ตอบสนองต่อธุรกิจได้อย่างครบวงจรสามารถติดต่อสอบถาม AIS Business เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมและทดลองใช้งานได้แล้วในวันนี้ เปลี่ยนความซับซ้อนและยุ่งยากในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่เคยเป็นข้อจำกัด ให้กลายเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบันที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง และสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับ Smart Factory และการผลิตยุคใหม่จาก AIS Business สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

AIS Business

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire