SIEMENS WinCC
VEGA Instrument
global cobot market growth welding dominates

ตลาดโคบอทพุ่งสูง งานเชื่อมครองส่วนแบ่งเกือบครึ่ง

Date Post
10.11.2025
Post Views

ตลาดหุ่นยนต์โคบอทระดับโลกกำลังอยู่ในช่วงการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติ ขับเคลื่อนโดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในงานเชื่อมที่กลายเป็นกลุ่มการใช้งานที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด

ระเบิดการเติบโตของตลาดโคบอท

ตลาดหุ่นยนต์โคบอท (Collaborative Robot) ระดับโลกมีมูลค่า 2,140 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าจะขยายตัวอย่างทวีคูณเป็น 11,640 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 คิดเป็นอัตราการเติบโตทบต้นต่อปี (CAGR) สูงถึง 31.6% ในช่วงระยะเวลาคาดการณ์ ตัวเลขการเติบโตที่น่าประทับใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของภาคอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกที่กำลังปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอัตโนมัติแบบยืดหยุ่นที่สามารถทำงานร่วมกับพนักงานมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องมีกำแพงกั้นหรือเขตความปลอดภัยที่มีราคาแพง

โคบอท หรือ Collaborative Robot คือหุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างใกล้ชิดและปลอดภัยในภาคอุตสาหกรรม ต่างจากหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมที่มีขนาดใหญ่และต้องแยกออกจากพื้นที่ทำงานของมนุษย์ด้วยกรงหรือเซ็นเซอร์เพื่อความปลอดภัย โคบอทมีน้ำหนักเบา ขนาดกะทัดรัด สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก และมีระบบเซ็นเซอร์ขั้นสูงที่สามารถตรวจจับและหยุดทำงานทันทีเมื่อเกิดการสัมผัสกับมนุษย์

งานเชื่อมยึดครองตลาดเกือบครึ่ง

การใช้งานด้านการเชื่อมได้กลายเป็นกลุ่มที่โดดเด่นและครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในอุตสาหกรรมโคบอท โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 42.7% ของรายได้ตลาดโคบอททั้งหมดในปี 2025 ส่วนแบ่งตลาดที่สูงมากนี้ชี้ให้เห็นถึงความเหมาะสมเฉพาะของเทคโนโลยีโคบอทสำหรับงานเชื่อม 

ซึ่งหุ่นยนต์ร่วมงานสามารถรักษาคุณภาพงานเชื่อมที่สม่ำเสมอและแม่นยำสูง พร้อมทั้งลดภาระทางกายภาพและความเสี่ยงต่อสุขภาพของพนักงานช่างเชื่อมที่ต้องสัมผัสกับความร้อนและแสงจ้าจากการเชื่อม

ความแม่นยำและความสามารถในการทำซ้ำ (Repeatability) ที่หุ่นยนต์โคบอทมอบให้ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานเชื่อมที่ซับซ้อนซึ่งในอดีตต้องอาศัยแรงงานที่มีทักษะสูงและประสบการณ์หลายปี โคบอทสามารถทำงานเชื่อมได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เหนื่อยล้า รักษาคุณภาพรอยเชื่อมให้คงที่ตลอดกะการทำงาน และสามารถเชื่อมในตำแหน่งที่ยากหรืออันตรายสำหรับมนุษย์

อัตราการนำมาใช้งานพุ่งสูงทั่วโลก

อัตราการนำโคบอทมาใช้งานในโรงงานสมัยใหม่ทั่วโลกได้เข้าสู่ระดับที่น่าทึ่ง โดยข้อมูลชี้ให้เห็นว่ามากกว่า 65% ของโรงงานร่วมสมัยได้นำหุ่นยนต์โคบอทมาใช้งานในภารกิจต่างๆ เช่น งานหยิบจัดวาง (Pick and Place) งานเชื่อม (Welding) งานประกอบชิ้นส่วน (Assembly) และงานตรวจสอบคุณภาพ (Quality Inspection) การบูรณาการที่แพร่หลายนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยี ความคุ้มค่าในการลงทุน และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ชัดเจน​

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือการเติบโตในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งในอดีตมักมองว่าเทคโนโลยีหุ่นยนต์เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากเนื่องจากต้นทุนสูงและความซับซ้อนทางเทคนิค ปัจจุบัน 48% ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้บูรณาการหุ่นยนต์โคบอทเข้ากับระบบอัตโนมัติของตนเองสำเร็จแล้ว แนวโน้มนี้สะท้อนถึงอุปสรรคด้านต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมที่เรียบง่ายและใช้งานง่ายขึ้น รวมถึงระยะเวลาคืนทุนที่สั้นลงทำให้โคบอทเข้าถึงได้สำหรับบริษัทที่มีงบประมาณจำกัด

ข้อได้เปรียบเหนือหุ่นยนต์แบบดั้งเดิม

ความน่าดึงดูดของเทคโนโลยีโคบอทมาจากข้อได้เปรียบหลักหลายประการเมื่อเทียบกับหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม โคบอทมักจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนภายใน 6-12 เดือน ซึ่งเร็วกว่าหุ่นยนต์อุตสาหกรรมทั่วไปที่อาจใช้เวลา 2-3 ปีจึงจะคืนทุน โคบอทต้องการพื้นที่ติดตั้งน้อยกว่ามาก ไม่ต้องการโครงสร้างความปลอดภัยที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง และสามารถปรับเปลี่ยนไปทำงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของการผลิตที่เปลี่ยนแปลง

คุณลักษณะเหล่านี้ทำให้โคบอทน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับสภาพแวดล้อมการผลิตแบบหลากหลายสินค้า-ปริมาณต่ำ (High-mix, Low-volume) ที่ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โรงงานสามารถโปรแกรมโคบอทใหม่ให้ทำงานต่างๆ ได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ไม่ใช่หลายวันหรือหลายสัปดาห์เหมือนกับหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบเดิม นอกจากนี้โคบอทยังสามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานีงานต่างๆ ได้ง่าย ทำให้สามารถปรับแผนการผลิตได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของลูกค้า

แนวโน้มในประเทศไทย

ในประเทศไทย ตลาดโคบอทก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน Universal Robots ผู้นำระดับโลกด้านหุ่นยนต์โคบอทได้จัดงาน “Collaborate Thailand 2025” ซึ่งเป็นงานสัมมนาหุ่นยนต์โคบอทที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอกย้ำศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางระบบอัตโนมัติของอาเซียน งานนี้มีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่อย่าง AI Accelerator และหุ่นยนต์โคบอทรุ่นใหม่ UR18, UR8 Long และ UR15 ที่ได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นสำหรับรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม 4.0

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับเทคโนโลยีโคบอท โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่ม และชิ้นส่วนเครื่องจักรกล ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการขาดแคลนแรงงานและความจำเป็นในการเพิ่มผลิตภาพ

ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต

การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดโคบอทมาจากปัจจัยสำคัญหลายประการที่มาบรรจบกัน ประการแรกคือปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่เป็นวิกฤติทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศในยุโรป ปัญหานี้บังคับให้ผู้ผลิตต้องหาทางเลือกในการรักษาระดับการผลิตโดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์มากเกินไป

ประการที่สองคือต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในประเทศที่เคยเป็นฐานการผลิตต้นทุนต่ำอย่างจีนและไทยก็เผชิญกับแรงกดดันด้านค่าแรงที่สูงขึ้น การลงทุนในโคบอทที่มีระยะเวลาคืนทุนเพียง 6-12 เดือนจึงกลายเป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความสามารถในการทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงและความสม่ำเสมอของคุณภาพงาน

การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นตัวเร่ง

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และระบบวิชั่น (Vision System) ที่ซับซ้อนขึ้นได้ขยายขีดความสามารถของโคบอทอย่างมีนัยสำคัญ โคบอทรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานเมื่อเวลาผ่านไป และจัดการงานที่ซับซ้อนมากขึ้นโดยแทบไม่ต้องอาศัยการแทรกแซงจากมนุษย์ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่พัฒนาขึ้นช่วยให้โคบอทสามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ดีขึ้นและโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ความท้าทายและโอกาสสำหรับประเทศไทย

สำหรับประเทศไทย การเติบโตของตลาดโคบอทนำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทาย โอกาสที่สำคัญคือการยกระดับผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียกำลังไล่ตามด้วยต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่า การนำโคบอทมาใช้สามารถช่วยให้ไทยรักษาความได้เปรียบในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการพัฒนาทักษะของแรงงานให้สามารถทำงานร่วมกับโคบอทได้อย่างมีประสิทธิภาพ แรงงานไทยจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมในการเขียนโปรแกรม การบำรุงรักษา และการทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นทักษะที่แตกต่างจากงานผลิตแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลและภาคเอกชนจึงต้องร่วมมือกันในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาและการฝึกอบรมที่เหมาะสม​

อนาคตของตลาดโคบอท

แนวโน้มในระยะยาว 5-10 ปีข้างหน้าชี้ให้เห็นว่าโคบอทจะขยายการใช้งานไปยังอุตสาหกรรมใหม่ๆ มากขึ้น นอกเหนือจากภาคการผลิตแบบดั้งเดิม เราจะได้เห็นโคบอทถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเกษตรกรรม ค้าปลีก ธุรกิจบริการ โลจิสติกส์ และแม้แต่ภาคการแพทย์และสาธารณสุข ภาคส่วนเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ทำซ้ำๆ และความสามารถในการให้บริการที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพสูง

การผสานรวมระหว่างโคบอทกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Internet of Things (IoT), Digital Twin, และ Cloud Computing จะสร้างระบบนิเวศการผลิตอัจฉริยะ (Smart Manufacturing Ecosystem) ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โรงงานในอนาคตจะเป็นสภาพแวดล้อมที่มนุษย์และหุ่นยนต์ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน โดยหุ่นยนต์จะรับผิดชอบงานที่ต้องการความแม่นยำสูงและความสม่ำเสมอ ในขณะที่มนุษย์จะมุ่งเน้นไปที่งานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และการแก้ปัญหาที่ไม่อาจคาดการณ์ได้​

ตลาดโคบอทที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่เป็นการปฏิวัติวิธีการทำงานและการผลิตของมนุษยชาติในศตวรรษที่ 21 ผู้ที่สามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาว


Key Summary Points

  • ตลาดโคบอทเติบโตอย่างก้าวกระโดด  มูลค่าจาก 2,140 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 11,640 ล้านดอลลาร์ในปี 2030 (CAGR 31.6%)
  • งานเชื่อม (Welding) ครองตลาดสูงสุด ด้วยสัดส่วน 42.7% ของรายได้ตลาดปี 2025 เพราะโคบอทช่วยให้คุณภาพรอยเชื่อมสม่ำเสมอและปลอดภัยขึ้น
  • การใช้งานโคบอทขยายทั่วโลก กว่า 65% ของโรงงานสมัยใหม่ และ 48% ของธุรกิจ SME นำโคบอทมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนแรงงาน
  • ข้อได้เปรียบหลักของโคบอท คือ คืนทุนเร็ว (6–12 เดือน), ติดตั้งง่าย, ใช้พื้นที่น้อย, และปรับเปลี่ยนงานได้ยืดหยุ่น เหมาะกับการผลิตแบบ High-mix Low-volume
  • เทคโนโลยี AI, Machine Learning และ Vision System ช่วยยกระดับความฉลาดและความแม่นยำของโคบอท ทำให้ทำงานซับซ้อนได้มากขึ้น
  • ประเทศไทยเป็นตลาดศักยภาพสูงในอาเซียน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร พร้อมขับเคลื่อนไปสู่ศูนย์กลางระบบอัตโนมัติภูมิภาค
  • ความท้าทายสำคัญของไทย คือการพัฒนาแรงงานให้มีทักษะร่วมงานกับหุ่นยนต์ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างยั่งยืน


Source : robotec , universal robots

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ