Google ประกาศเดินหน้าโครงการสายเคเบิลใต้น้ำใหม่ “TalayLink” เชื่อมประเทศไทยกับออสเตรเลียอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นับเป็นเส้นทางเชื่อมต่อดิจิทัลเส้นใหม่ในมหาสมุทรอินเดียภายใต้แผน Australia Connect ต่อเนื่องจากโครงการที่ประกาศเมื่อปีก่อน
TalayLink ได้รับการตั้งชื่อตามคำว่า “ทะเล” ในภาษาไทย วางแนวเชื่อมจากเมืองแมนดูราห์ รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียมายังภาคใต้ของไทย โดยเพิ่มจุดขึ้นฝั่งใหม่เพื่อเสริมความหลากหลายจากเส้นทางเดิมที่ส่วนใหญ่เชื่อมเข้าที่เพิร์ธ ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเส้นทางเดิมเพียงเส้นเดียว และเพิ่มทั้งความถี่ ความเสถียร และความยืดหยุ่นของระบบสื่อสารข้ามภูมิภาค
การเชื่อมต่อนี้จะเสริมศักยภาพคลาวด์ระดับไฮเปอร์สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ และบริการ AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไทยและอาเซียน พร้อมขยับบทบาทไทยให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
พร้อมกันนี้ Google ยังเตรียมตั้งศูนย์กลางเชื่อมต่อดิจิทัลแห่งใหม่ในภาคใต้ของไทย และร่วมมือกับ AIS รวมถึง ALT Telecom เพื่อวางเซิร์ฟเวอร์ร่วมและระบบ colocation แอคชั่นนี้จะช่วยผลักดัน Ecosystem ดิจิทัลของไทย ตั้งแต่ AI Infrastructure, Cloud Network ไปจนถึงบริการอินเทอร์เน็ตระดับอุตสาหกรรม
เส้นทาง TalayLink ยังเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ด้านการสื่อสารของ Google ในมหาสมุทรอินเดีย ผ่านการเชื่อมต่อกับฮับมัลดีฟส์และเกาะคริสต์มาส ทำให้ไทยมีตำแหน่งสำคัญเป็น “ประตูดิจิทัล” เชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับมหาสมุทรอินเดียและแอฟริกาในอนาคต
เมื่อโครงการแล้วเสร็จ สายเคเบิลใต้น้ำ TalayLink จะช่วยเพิ่มความเร็ว ความมั่นคงด้านข้อมูล และรองรับปริมาณทราฟฟิกขนาดใหญ่ที่เกิดจาก AI, Cloud Computing และเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังบูมทั่วภูมิภาค
✦ มุมมองในภาคอุตสาหกรรมของทาง MM Thailand
โครงการ TalayLink ถือเป็นดีลยุทธศาสตร์ที่ยกระดับไทยสู่ฐาน Digital Infrastructure ระดับภูมิภาคในจังหวะที่อุตสาหกรรม AI–Cloud เติบโตแบบก้าวกระโดด การมีเส้นทางเคเบิลใหม่ช่วยลดความเสี่ยงจาก single point of failure ทำให้ผู้ให้บริการระดับไฮเปอร์สเกล เช่น AWS, Google Cloud, Microsoft Azure มั่นใจในการขยายศูนย์ข้อมูลในไทยมากขึ้น
สำหรับอุตสาหกรรมการผลิต ความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตเป็นหนึ่งในหัวใจของ Smart Factory และระบบอัตโนมัติ การมาของ TalayLink จะช่วยให้บริการ Cloud–AI ในภาคอุตสาหกรรมมี latency ต่ำขึ้น รองรับ Digital Twin, Machine Vision, IoT แบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับโรงงาน–ซัพพลายเชน
โดยรวม นี่คือก้าวสำคัญที่ช่วยปักหมุดไทยเป็น Digital Hub ของภูมิภาค และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ









