นักวิทยาศาสตร์จากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน เปิดเผยความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่อาจเปลี่ยนโฉมการใช้พลังงาน จากงานวิจัยล่าสุดเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของห้องทดลองอีกต่อไป แต่ยังเริ่มถูกนำไปสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง ท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีที่ต่างมุ่งมั่นพาโลกเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่อย่างยั่งยืน
ญี่ปุ่นส่งสัญญาณนำเกม
แวดวงวิทยาศาสตร์ในญี่ปุ่นสร้างความฮือฮา เมื่อทีมนักวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่ใช้วัสดุซึมซับไอออนประสิทธิภาพสูง ช่วยให้แบตเตอรี่ชาร์จไวขึ้นหลายเท่า อายุการใช้งานยาวนานขึ้น และทนความร้อนได้ดีกว่าเดิม ผลงานนี้ส่งผลโดยตรงต่อการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะลดปัญหาความร้อนสะสมและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน องค์กรวิจัยของญี่ปุ่นเดินหน้าหาพันธมิตรในอุตสาหกรรมทันที เพื่อเร่งต้นแบบสู่ตลาด สร้างแรงกระเพื่อมทั้งซัพพลายเชน
สหรัฐฯ เน้นความจุและความทนทาน
ขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกากำลังวิจัยเซลล์แบตเตอรี่แบบ solid-state ที่เน้นความปลอดภัยสูง ไม่ลุกไหม้ง่าย และรองรับการชาร์จซ้ำได้หลายพันรอบ จุดเด่นคือสามารถบรรจุพลังไฟมากขึ้นในขนาดเท่าเดิม ลดปัญหาความเสื่อมสภาพของวัสดุภายในเซลล์ ทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าแบตเตอรี่แบบเดิม เริ่มมีความร่วมมือกับบริษัทรถยนต์และสมาร์ทโฟนรายใหญ่ เตรียมผลักดันสู่การใช้งานจริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
จีนชิงพื้นที่นำในตลาดแบตเตอรี่ทั่วโลก
ฟากฝั่งจีนมีความคึกคักไม่แพ้กัน นักวิจัยจีนประกาศความสำเร็จในการสร้างแบตเตอรี่ lithium iron phosphate (LFP) รุ่นใหม่ที่รองรับการชาร์จและปล่อยประจุเร็วขึ้น มีความเสถียรสูง แม้อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เทคโนโลยีนี้เหมาะกับการประยุกต์ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าและระบบสำรองไฟฟ้าขนาดใหญ่ ส่งแรงผลักดันให้ผู้ผลิตจีนสามารถควบคุมต้นทุน ดันราคารถ EV ลงจนเข้าถึงผู้บริโภควงกว้าง ขณะเดียวกันก็ยังเร่งวิจัยแบตเตอรี่ sodium-ion แบบใหม่ที่เน้นใช้งานในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีต้นทุนต่ำกว่า lithium อีกด้วย.
จับตาการเปลี่ยนผ่านสู่แหล่งพลังงานสะอาด
การแข่งขันด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่ในครั้งนี้นอกจากจะตอบโจทย์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยังจะเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนโลกอย่างเป็นรูปธรรม เพราะไม่ว่าแบตเตอรี่จะถูกใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า
ระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ หรือเครือข่ายสมาร์ทกริด เทคโนโลยีเหล่านี้จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมเปิดโอกาสใหม่ทางอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มรูปแบบ










