IDA Project
VEGA Instrument
mark zuckerberg ที่กำลังดำเนินโครงการพัฒนา AI ที่จะ ทัก ก่อน

Meta ทดลองใช้แชตบอตเชิงรุก AI ที่เริ่มบทสนทนาก่อน เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

Date Post
07.07.2025
Post Views

Meta กำลังทดสอบฟีเจอร์ AI รูปแบบใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับแชตบอตไปอย่างสิ้นเชิง โดยคราวนี้แชตบอตจะไม่รอให้ผู้ใช้เป็นฝ่ายเริ่มต้นอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นฝ่าย “ทักก่อน” เพื่อพยายามรื้อฟื้นบทสนทนาที่เคยค้างไว้และกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมามีส่วนร่วมมากขึ้น

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการภายในที่ชื่อว่า Project Omni ซึ่ง Meta พัฒนาร่วมกับบริษัทจัดการข้อมูลชื่อว่า Aligner โดยใช้เครื่องมือจาก AI Studio แพลตฟอร์มแบบไม่ต้องเขียนโค้ดของ Meta ที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างแชตบอตในแบบของตัวเองและนำไปใช้งานในแอปต่าง ๆ อย่าง WhatsApp หรือ Instagram ได้อย่างง่ายดาย

แชตบอตเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตอบคำถามพื้นฐานหรือช่วยดูแลลูกค้าอีกต่อไป แต่ได้รับการออกแบบให้สามารถกลับมาทักทายผู้ใช้หลังจากที่ไม่มีการพูดคุยกันสักพัก โดยอาจเสนอเพลงใหม่ ถามไถ่แบบเป็นกันเอง หรือพูดถึงบทสนทนาเก่า ๆ ที่เคยคุยไว้ก่อนหน้า ซึ่ง Meta ตั้งใจให้สิ่งนี้ช่วยยืดอายุและความถี่ของการใช้งานแชตบอตในระยะยาว

ทักก่อนแต่ไม่ก้าวก่าย 

กลยุทธ์ ‘ทักก่อน’ ของแชตบอต Meta ไม่ได้มาในรูปแบบรุกเร้า แต่เลือกใช้แนวทางที่นุ่มนวล เช่น ถ้าผู้ใช้เคยคุยเรื่องภาพยนตร์ไว้ก่อน แชตบอตอาจถามไถ่ว่าได้ดูหนังดี ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้หรือยัง หรือแนะนำเพลงตามอารมณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ยังคงบรรยากาศของความเป็นมิตร น้ำเสียงจะเน้นความเบาสบาย และเนื้อหาจะถูกปรับให้สอดคล้องกับบริบทและบุคลิกของบอตที่ผู้ใช้เลือกไว้

ไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือโอกาสทางธุรกิจระดับล้านล้านดอลลาร์

Meta ไม่ได้มองฟีเจอร์ใหม่นี้แค่เรื่องความบันเทิงหรือความพึงพอใจของผู้ใช้เท่านั้น แต่เชื่อว่าเป็นประตูสู่รายได้มหาศาลจากตลาด AI ที่คาดว่าจะสร้างรายได้ระหว่าง 2 ถึง 3 พันล้านดอลลาร์จากผลิตภัณฑ์ AI เชิงสร้างสรรค์ในปีนี้ และอาจพุ่งสูงถึงหลายล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2035 หากนำมาใช้ต่อเนื่องและถูกจุด

สิ่งสำคัญคือ แชตบอตจะต้องไม่เพียงทำงานได้ดีในครั้งแรก แต่ต้องสามารถกลับมาใช้งานซ้ำได้บ่อย ๆ โดยไม่สร้างความรำคาญ และต้องกระตุ้นให้ผู้ใช้อยากพูดคุยต่อได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม

แม้ฟีเจอร์นี้จะดูน่าสนใจ แต่ก็มีคำถามสำคัญเรื่องความยินยอมและการควบคุม เนื่องจาก Meta ยืนยันว่าแชตบอตจะไม่สามารถส่งข้อความหาผู้ใช้ได้หากไม่ได้รับการโต้ตอบมาก่อน และหากผู้ใช้เพิกเฉย แชตบอตก็จะไม่ส่งข้อความซ้ำ นอกจากนี้ยังมีระบบที่ช่วยกันไม่ให้แชตบอตเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับประเด็นอ่อนไหว เว้นแต่ผู้ใช้จะเปิดประเด็นขึ้นมาเอง

ความท้าทายของ Meta กับเส้นบาง ๆ ระหว่างประโยชน์และการรุกล้ำ

Meta ไม่ใช่หน้าใหม่ในเรื่องความท้าทายด้านความเป็นส่วนตัว เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งออกคำเตือนเกี่ยวกับการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวลงในแชตกับแชตบอต AI โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการพัฒนา AI ที่ฉลาดและเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น ก็อาจนำไปสู่ปัญหาใหม่หากไม่มีมาตรการควบคุมที่รัดกุม

หรือ Meta กำลังสร้าง AI Chatbot ที่จะมาขายของในคราบเพื่อน ?

แม้จะไม่มีการกล่าวอย่างชัดเจนว่า AI เหล่านี้จะถูกใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่ลักษณะของแชตบอตที่เริ่มบทสนทนาเองได้ ย่อมเปิดทางสู่การใช้งานที่มากกว่าแค่การสนทนาแบบเป็นกันเอง หากนำมาใช้แนะนำสินค้า โปรโมชั่น หรือบริการต่าง ๆ อย่างแนบเนียน ก็อาจทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสของจุดประสงค์แท้จริงของบอต

ยิ่งหากบอตถูกตั้งค่าให้มีบุคลิกคล้ายเพื่อนสนิทที่คอยทักมาถามไถ่ชีวิตประจำวัน แล้วสอดแทรกโฆษณาในจังหวะที่เหมาะสม ก็อาจทำให้ผู้ใช้เผลอเปิดใจมากกว่าที่ควร และไม่สามารถแยกออกได้ว่าคำแนะนำเหล่านั้นมาจากเพื่อน AI หรือมาจากฝ่ายการตลาด

ในขณะนี้ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง และยังไม่ชัดเจนว่าจะปล่อยให้ใช้งานทั่วไปเมื่อใด แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า Meta ไม่ได้มองแชตบอตแค่เครื่องมือคอยตอบคำถามอีกต่อไป แต่กำลังผลักดันให้มันกลายเป็นผู้ริเริ่มบทสนทนา ผู้สร้างความสัมพันธ์ และอาจเป็นผู้ขายสินค้าในรูปแบบใหม่ ที่ผู้ใช้ไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังถูกขายอยู่

Source : Digitalinformationworld

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
ลงทะเบียนร่วมงาน Automation Expo