ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ คำถามที่กำลังร้อนแรงไม่ใช่เพียงแค่ ‘ใครจะพัฒนา AI ได้ไกลที่สุด’ แต่อาจต้องถามต่ออีกว่า ‘ใครมีเงินทุนมากพอจะวิ่งตามความเร็วนี้ทัน?’
ล่าสุด Dario Amodei ซีอีโอหัวก้าวหน้าของ Anthropic บริษัท AI ชั้นนำจากสหรัฐฯ ได้โยนประเด็นร้อนใส่วงการ AI อย่างตรงไปตรงมา เขาส่งข้อความถึงพนักงานภายในบริษัทว่า Anthropic
ว่ากำลังเตรียมเปิดรับการลงทุนจากประเทศในกลุ่มอ่าวอาหรับ อย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และกาตาร์ แม้จะรู้เต็มอกว่าเงินก้อนนี้อาจมาจากรัฐบาลที่มีพฤติกรรม ‘เผด็จการ’
หากฟังแล้วแอบรู้สึกว่ามันขัดกับภาพของบริษัทเทคโนโลยีเชิงจริยธรรมที่หลายคนคุ้นเคย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ Anthropic เคยปฏิเสธเงินจากซาอุดีอาระเบีย
ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติแบบไม่ลังเล แต่โลกแห่ง AI ในปี 2025 นั้นเปลี่ยนไปมาก และดูเหมือนว่า Amodei ก็กำลังบอกโลกว่า
“ในสนามแข่งระยะไกล เงินทุนไม่ต่างจากน้ำดื่ม คุณอาจไม่ชอบที่มาของมัน แต่ปฏิเสธไม่ได้หากคุณจะไปให้ถึงเส้นชัยคุณก็ต้องมีมัน” และ “ผมไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนี้…แต่ความอยู่รอดของบริษัทต้องมาก่อน”
จากรายงานของ Wired และการเปิดเผยเนื้อหาใน Slack ภายในบริษัท Amodei อธิบายกับพนักงานว่าเป้าหมายสำคัญของการเปิดรับเงินตะวันออกกลาง คือ
เพื่อเสริมความสามารถด้านการวิจัยขั้นสูงและสร้างระบบฝึกสอนโมเดลขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินในระดับ หลายแสนล้านดอลลาร์ขึ้นไป หรือในภาษาคนทำธุรกิจ คือ “ถ้าไม่ยอมรับเงินเหล่านี้ เราอาจหลุดจากหัวแถว”
เขายังย้ำว่าการรับเงินครั้งนี้จะอยู่ในรูปแบบ purely financial investment เท่านั้น คือไม่ให้สิทธิ์ประเทศเหล่านั้นมีอำนาจควบคุมการตัดสินใจใดๆ ในบริษัทอย่างเป็นทางการ
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ปิดบังความกังวลว่า การรับเงินรอบนี้อาจสร้างบารมีแฝงให้กับนักลงทุนในรูปแบบ soft power แบบที่ยากจะควบคุม
อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจนึกภาพตามได้ว่า CEO ของบริษัท AI ที่เพิ่งได้สัญญาพิเศษจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มูลค่า 200 ล้านเหรียญ เขากำลังต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง “หลักการ” กับ “โอกาส”
สนามแข่งขันที่ไม่เท่ากัน — เมื่อเพื่อนร่วมวงการโผไปตะวันออกกลางก่อนแล้ว
การตัดสินใจของ Anthropic ไม่ได้เกิดขึ้นแบบลอย ๆ แต่สะท้อนถึงทิศทางของอุตสาหกรรม AI ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเงินลงทุนขนาดมหาศาล และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางกลายเป็นผู้เล่นตัวจริงในเวทีนี้ไปแล้ว
OpenAI คู่แข่งคนสำคัญ ก็ประกาศความร่วมมือกับ G42 บริษัทจาก UAE ผ่านโครงการ UAE Stargate ซึ่งจะสร้างกำลังประมวลผลสูงถึง 5 กิกะวัตต์ (5GW) หรือระดับที่สามารถฝึกโมเดล AI ขนาดยักษ์ได้หลายรุ่นพร้อมกัน
ขณะเดียวกัน ซาอุดีอาระเบียก็ก่อตั้งบริษัทนาม Humain โดยรัฐบาลถือหุ้นทั้งหมด พร้อมทุ่มซื้อชิป AI และเตรียมจับมือกับยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง
Amodei อธิบายว่า Anthropic ในตอนนี้กำลังเสียเปรียบเชิงโครงสร้าง เพราะยืนยันจะไม่รับเงินจากบางแหล่งทุนในอดีต ความจริงที่ว่าบริษัทอื่น ๆ ยิ่งยอมง่ายก็อาจ ยิ่งได้กำลัง ทำให้บอร์ดบริหารของ Anthropic
ต้องกลับมาคิดทบทวนว่า หลักการอาจจะสูงส่งก็จริง แต่ถ้าการรักษาหลักการทำให้บริษัทชะลอตัวลงมาก อนาคตในสายงาน AI ก็อาจสูญหายไปด้วย
เงินกับจริยธรรม คือ คู่ตรงข้ามหรือของคู่กัน?
และนี่คือคำถามที่เริ่มโผล่ขึ้นมาบ่อยในวงการเทคโนโลยีช่วงไม่กี่ปีนี้ เมื่อพรมแดนระหว่างการสร้างสิ่งยิ่งใหญ่กับการรักษาความดีเริ่มเบลอ
Anthropic เองคือบริษัทที่สร้าง Claude ซึ่งเป็นหนึ่งในโมเดล AI ภาษา (language models) ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยและมีจริยธรรมสูง โดยเน้นว่า ‘ระบบที่ฉลาดไม่จำเป็นต้องอันตรายต่อสังคม’
ดังนั้น การเปลี่ยนทิศทางไปรับเงินลงทุนจากแหล่งที่เคยเลี่ยง จึงไม่พ้นที่จะถูกตั้งคำถามจากสาธารณชน รวมถึงพนักงานภายในเอง
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็มีเสียงเข้าใจว่า โลกของ AI ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเกมอำนาจระดับโลกที่ต้องใช้งบประมาณระดับประเทศ ถึงจะไต่อันดับไปอยู่ในลีกเดียวกับ Google หรือ OpenAI ได้จริง
บทสรุปที่ไม่มีคำตอบตายตัว
คำกล่าวของ Amodei ในตอนท้าย สะท้อนหัวใจของความซับซ้อนในครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน
“ผมได้แต่หวังว่าจะไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้…แต่ตอนนี้ผมต้องอยู่กับมัน”
นั่นคือความจริงของบริษัทเทคโนโลยีในวันที่โลกหมุนเร็วขึ้นด้วยวงล้อของซิลิคอน , พลังงาน , และอำนาจอธิปไตย ในยุคที่จริยธรรมต้องต่อรองกับความอยู่รอดและนวัตกรรมต้องประคองบนเส้นบางๆ ของการเมืองระหว่างประเทศ
Anthropic ไม่ใช่บริษัทแรกที่เผชิญคำถามนี้ และก็คงไม่ใช่รายสุดท้าย แต่การตัดสินใจครั้งนี้จะกลายเป็นกรณีศึกษา
ไม่ว่ามันจะนำพาไปสู่ความสำเร็จ หรือกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ย้อนกลับมาตั้งคำถามถึงสิ่งที่บริษัทเคยเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งก็ตาม