ทหารถือเป็นกลุ่มอาชีพที่เผชิญความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บทางสมองสูงกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะมาจากแรงระเบิดในสนามรบ อุบัติเหตุระหว่างการฝึก หรือแรงกระแทกจากอาวุธ ข้อมูลระบุว่า ตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2023 มีทหารสหรัฐมากกว่า 500,000 นายที่ประสบภาวะบาดเจ็บทางสมอง ตัวเลขนี้ผลักดันให้กองทัพเร่งลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีตรวจสอบสุขภาพสมองรูปแบบใหม่ที่รวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิม
ปัญหาสำคัญของการวินิจฉัยแบบดั้งเดิม คือกระบวนการที่ล่าช้า ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญ และไม่เหมาะกับสภาพสนามรบที่เวลามีจำกัด การตรวจไม่ทันการณ์อาจกระทบทั้งชีวิตและความสำเร็จของภารกิจโดยตรง
เทคโนโลยีตรวจแบบเร็วใน 90 วินาที
MIT Lincoln Laboratory พัฒนาระบบ READY ที่ช่วยประเมินสภาพสมองผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ใช้เวลาเพียง 90 วินาที โดยวิเคราะห์จากสามปัจจัยหลัก ได้แก่ การทรงตัว การเคลื่อนไหวของดวงตา และเสียงพูด
ในอีกด้านหนึ่ง ระบบ MINDSCAPE ใช้เทคโนโลยีความจริงเสมือนร่วมกับการเรียนรู้ของเครื่องในการตรวจสอบความจำและการตอบสนอง ผู้ทดสอบจะสวมแว่น VR ทำแบบฝึกหัดในขณะที่เซ็นเซอร์บันทึกคลื่นสมองและสัญญาณชีพต่างๆ ข้อมูลที่ได้ถูกประมวลผลด้วยปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างผลประเมินที่แม่นยำยิ่งขึ้น
อีกความก้าวหน้ามาจากความร่วมมือระหว่างกองทัพสหรัฐและ Abbott Laboratories ในการพัฒนาระบบ ATBI เครื่องมือนี้สามารถตรวจหาการบาดเจ็บสมองจากการเจาะเลือดเพียงหยดเดียวภายใน 15 นาที โดยตรวจจับโปรตีน GFAP และ UCH-L1 ซึ่งเป็นสารที่หลั่งออกมาเมื่อสมองได้รับความเสียหาย
ระบบดังกล่าวได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐเมื่อเดือนมีนาคม 2024 และกำลังทยอยส่งมอบให้หน่วยทหาร คาดว่าจะครอบคลุมทั้งกองทัพภายในสิ้นปี 2025 ทำให้แพทย์ทหารสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นว่าใครควรได้รับการส่งต่อเพื่อรับการรักษา
เฝ้าระวังสมองจากแรงระเบิดแบบเรียลไทม์
อีกหนึ่งนวัตกรรมคือระบบ EYEBOOM อุปกรณ์สวมใส่ที่ติดตามผลกระทบจากแรงระเบิดต่อร่างกายแบบต่อเนื่อง ระบบจะวัดความรุนแรงของแรงระเบิดจากสิ่งแวดล้อม พร้อมบันทึกการเปลี่ยนแปลงของดวงตา การทรงตัว และท่าทางของร่างกาย
หน่วยรบพิเศษของสหรัฐได้เริ่มใช้งานแล้วและพบว่าสามารถช่วยปรับวิธีการฝึกเพื่อลดความเสี่ยง ข้อมูลที่ได้ยังชี้เป้าผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ทำให้สามารถป้องกันอาการบาดเจ็บก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง
การนำไปใช้และข้อจำกัด
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2024 กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้เริ่มโครงการประเมินความพร้อมทางปัญญา โดยตรวจสอบนักเรียนนายร้อยทุกรายผ่านการประเมินด้านความจำ สมาธิ และการตัดสินใจ รวม 10 ด้าน เพื่อเก็บเป็นข้อมูลอ้างอิงเปรียบเทียบในอนาคต
แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างความหวังใหม่ แต่ยังมีข้อจำกัดที่ไม่อาจมองข้าม ได้แก่ ต้นทุนการพัฒนาและบำรุงรักษาที่สูง ความจำเป็นในการฝึกอบรมบุคลากร ตลอดจนความกังวลเรื่องการคุ้มครองข้อมูลสมองและความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีคำถามเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีที่อาจมีผลกระทบต่อกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์
การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้สะท้อนการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในวงการแพทย์ทหาร จากการรักษาภายหลังการบาดเจ็บสู่การป้องกันเชิงรุก ข้อมูลที่ได้จากการตรวจจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนภารกิจ การฝึกอบรม และการดูแลสุขภาพระยะยาว
ในอนาคต ระบบเหล่านี้อาจพัฒนาจนสามารถคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลได้ ความสำเร็จในภาคทหารยังอาจต่อยอดสู่ภาคพลเรือน ทั้งในหมู่นักกีฬา แรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงผู้สูงอายุ
การลงทุนด้านเทคโนโลยีสุขภาพสมองจึงไม่เพียงช่วยปกป้องชีวิตทหารในสนามรบ แต่ยังเป็นการปูทางไปสู่การดูแลสุขภาพสมองของประชาชนในวงกว้างในอนาคต
และหวังว่าการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่สหรัฐได้ลงทุนไปนี้จะเป็นตัวอย่างให้ประเทศไทยได้ก้าวตามการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพให้กับเหล่าทหารไทย
Source : MIT NEWS











