ล่าสุดบริษัท Anthropic ผู้พัฒนา AI Claude ได้เปิดเผยรายงานที่น่าตกใจเกี่ยวกับรูปแบบอาชญากรรมใหม่ที่เรียกว่า Vibe-hacking ซึ่งกำลังกลายเป็นภัยคุกคามระดับแนวหน้าที่องค์กรทั่วโลกต้องเตรียมพร้อมรับมือ
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการที่อาชญากรสามารถใช้ AI ในการดำเนินการโจมตีแบบครบวงจรได้อย่างอัตโนมัติ โดยที่ก่อนหน้านี้การโจมตีในระดับนี้จำเป็นต้องอาศัยทีมผู้เชี่ยวชาญหลายคน แต่ตอนนี้แฮกเกอร์เพียงคนเดียวก็สามารถทำได้แล้ว
เมื่อ AI กลายเป็นหุ้นส่วนของอาชญากร
คำว่า Vibe-hacking อาจฟังดูแปลกใหม่ แต่จริงๆ แล้วมันมาจากแนวคิด Vibe Coding ที่ Andrej Karpathy นักวิจัย AI ชื่อดังเคยเสนอ หมายถึงการเขียนโปรแกรมโดยให้ AI ทำงานตามความรู้สึกและเจตนาของผู้ใช้ แต่ในกรณีของ Vibe-hacking นั้น แทนที่จะใช้สร้างสรรค์สิ่งดีงาม กลับถูกบิดเบือนไปในทางตรงกันข้าม
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Vibe-hacking กับการใช้ AI ในอาชญากรรมแบบเดิมก็คือ แทนที่จะขอให้ AI แค่ให้คำแนะนำ อาชญากรจะให้ AI ลงมือปฏิบัติการจริงๆ ตั้งแต่การค้นหาเป้าหมาย การเจาะระบบ ไปจนถึงการสร้าง malware และการเรียกค่าไถ่
Jacob Klein หัวหน้าทีมข่าวกรองภัยคุกคามของ Anthropic อธิบายว่า “สิ่งที่ก่อนหน้านี้ต้องใช้ทีมผู้เชี่ยวชาญ ตอนนี้สามารถทำได้โดยบุคคลเดียวด้วยความช่วยเหลือจากระบบ agentic AI ” นั่นหมายความว่าอุปสรรคในการเข้าสู่อาชญากรรมไซเบอร์ระดับสูงได้ลดลงอย่างมาก
กรณีศึกษาที่สั่นสะเทือนวงการอย่าง GTG-2002 Operation
หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าตกใจที่สุดที่ Anthropic เปิดเผยคือปฏิบัติการที่มีชื่อรหัสว่า GTG-2002 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังทำลายล้างของ Vibe-hacking อย่างชัดเจน ในคดีนี้ อาชญากรเพียงคนเดียวสามารถโจมตีองค์กรต่างๆ ถึง 17 แห่ง ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน
เป้าหมายของการโจมตีครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทเอกชน แต่ยังรวมถึงหน่วยงานรัฐบาล โรงพยาบาล หน่วยงานบริการฉุกเฉิน และแม้กระทั่งสถาบันทางศาสนา การที่อาชญากรสามารถกระจายการโจมตีไปยังหลากหลายภาคส่วนได้อย่างรวดเร็วนี้ แสดงให้เห็นถึงความอันตรายของเทคโนโลยีที่ตกไปอยู่ในมือคนผิด
สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีการดำเนินงานที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูง อาชญากรใช้ Claude Code ในการสแกนหา VPN endpoints หลายพันแห่งเพื่อค้นหาช่องโหว่ จากนั้นก็สร้างเครื่องมือที่จัดระเบียบผลลัพธ์ตามประเทศและเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ
การทำงานแบบสายการผลิตของอาชญากรรมใหม่
สิ่งที่น่าตื่นตระหนกเกี่ยวกับ Vibe-hacking คือการที่มันทำงานเหมือนสายการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม มีขั้นตอนที่ชัดเจนและเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนแรกคือการสำรวจและค้นหาเป้าหมาย AI จะทำการสแกนหาเป้าหมายที่มีช่องโหว่แล้วจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ จากนั้นเป็นขั้นตอนการเจาะระบบและขโมยข้อมูลรับรอง ซึ่ง AI จะช่วยในการโจมตี credential และเข้าถึงระบบ Active Directory
ขั้นตอนที่สามคือการพัฒนา malware ที่ปรับแต่งเฉพาะ AI จะสร้างโปรแกรมที่ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ด้วย เช่น การสร้าง TCP proxy ใหม่ที่ไม่ใช้ library มาตรฐาน หรือการซ่อน executable ให้ดูเหมือนเครื่องมือของ Microsoft
ขั้นตอนสุดท้ายคือการขโมยและวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการสร้างหนังสือเรียกค่าไถ่ที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับแต่ละเหยื่อ ในกรณีของ GTG-2002 นี้ อาชญากรกำหนดค่าไถ่ตั้งแต่ 75,000 ถึง 500,000 ดอลลาร์ในรูปแบบ Bitcoin
ผลกระทบต่อภูมิทัศน์ความปลอดภัยไซเบอร์
การเกิดขึ้นของ Vibe-hacking ไม่ได้เป็นเพียงแค่วิวัฒนาการอีกรูปแบบหนึ่งของอาชญากรรมไซเบอร์ แต่เป็นการปฏิวัติที่เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของเกมทั้งหมด ก่อนหน้านี้ การโจมตีที่ซับซ้อนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคสูงและทีมงานที่มีประสบการณ์ แต่ตอนนี้ แม้แต่ผู้ที่มีทักษะเทคนิคจำกัดก็สามารถดำเนินการโจมตีระดับมืออาชีพได้
สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือความสามารถในการปรับตัวแบบเรียลไทม์ของ AI แตกต่างจากมนุษย์ที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และปรับปรุงเทคนิค AI สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการโจมตีเพื่อตอบสนองต่อมาตรการป้องกันได้ทันที ทำให้การป้องกันแบบดั้งเดิมกลายเป็นเรื่องยาก
นอกจากนี้ การระบุตัวตนของการโจมตีประเภท Vibe-hacking ก็ยากขึ้นเช่นกัน เพราะรูปแบบโค้ดที่สร้างโดย AI มักจะสะท้อนถึงรูปแบบของ AI models มากกว่าสไตล์การเขียนโค้ดของมนุษย์แต่ละคน
สถานการณ์ในประเทศไทย
ประเทศไทยเองก็ไม่ใช่เขตปลอดภัยจากภัยคุกคามประเภทนี้ ตามข้อมูลจากสำนักงานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ มีเหตุการณ์ไซเบอร์เกิดขึ้นมากกว่า 1,002 ครั้งในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2025 เท่านั้น โดยองค์กรไทยมากกว่า 63% ประสบปัญหาการรั่วไหลข้อมูล และที่น่าตกใจคือมีถึง 52% ที่ยอมจ่ายค่าไถ่
รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้ โดยประกาศปี 2025 เป็นปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์ แต่ยังขาดกรอบการกำกับดูแล AI ที่ชัดเจนเหมือนประเทศในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา
นายอัตพล พยัคฆ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการบริษัทไซเบอร์จีนิคส์ ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า
“AI Security ไม่ใช่แค่การป้องกันการเจาะระบบ แต่ต้องสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล Training Data, โมเดล AI และโครงสร้างพื้นฐาน”
การตอบโต้และมาตรการป้องกัน
เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ บริษัท Anthropic ได้ดำเนินการตอบโต้อย่างรวดเร็ว โดยการระงับบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานในทางที่ผิด พัฒนาระบบจำแนกประเภทเฉพาะสำหรับกิจกรรมประเภทนี้ และแบ่งปันข้อมูลตัวชี้วัดทางเทคนิคกับพันธมิตรที่สำคัญ
แต่การรับมือกับ Vibe-hacking ไม่ใช่เรื่องที่บริษัทผู้พัฒนา AI คนเดียวจะทำได้ ตามรายงาน World Economic Forum Global Cybersecurity Outlook 2025 พบว่า 66% ขององค์กรทั่วโลกคาดว่า AI จะมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงไซเบอร์ในปี 2025 แต่มีเพียง 37% เท่านั้นที่มีมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยของ AI ก่อนนำมาใช้งาน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้องค์กรต่างๆ เตรียมความพร้อมโดยการสร้าง AI Security Platform เพื่อควบคุม Prompt Injection Detection พัฒนาระบบ Model Risk Management และเสริมสร้าง AI Supply Chain Security
อนาคตที่ต้องเตรียมรับมือ
การคาดการณ์ในอนาคตของผู้เชี่ยวชาญช่วยให้เราเห็นภาพรวมของปัญหาที่กำลังจะมาถึง Dario Amodei CEO ของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI อาจทำให้งานระดับเริ่มต้นของพนักงานออฟฟิศหายไปถึงครึ่งหนึ่งภายในห้าปี ขณะเดียวกัน ต้นทุนจากอาชญากรรมไซเบอร์ทั่วโลกคาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2025
นอกเหนือจาก Vibe-hacking แล้ว ยังมีภัยคุกคามอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI อีกมากมาย เช่น การหลอกลวงของพนักงาน IT จากเกาหลีเหนือที่ใช้ Claude ในการสมัครงานปลอมที่บริษัทเทคโนโลยีอเมริกัน, Ransomware-as-a-Service ที่พัฒนาด้วย AI ในราคา 400-1,200 ดอลลาร์ และแม้แต่ Romance scam bot ที่ขับเคลื่อนด้วย AI models
การเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่
Vibe-hacking เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ มันแสดงให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือช่วยเหลือ แต่สามารถกลายเป็นผู้ร่วมปฏิบัติการที่แท้จริงได้ ไม่ว่าจะในด้านบวกหรือลบ
ความจริงที่เราต้องยอมรับคือ เทคโนโลยี AI จะพัฒนาต่อไป และการนำไปใช้ในทางที่ผิดก็จะซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ องค์กรที่ต้องการอยู่รอดในยุคนี้จำเป็นต้องปรับปรุงกลยุทธ์ความปลอดภัยไซเบอร์ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่การป้องกันแบบเดิมๆ แต่ต้องเข้าใจและเตรียมรับมือกับภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนด้วย AI
การต่อสู้กับ Vibe-hacking และภัยคุกคาม AI อื่นๆ จะเป็นการแข่งขันระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการป้องกันกับการใช้เทคโนโลยีเดียวกันเพื่อการโจมตี ผู้ที่จะเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขันนี้คือผู้ที่สามารถปรับตัวได้เร็วกว่าและเข้าใจเทคโนโลยีได้ลึกกว่า
ในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง การที่เราจะใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อความก้าวหน้าหรือจะปล่อยให้มันกลายเป็นอาวุธทำลายล้าง ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมและการตัดสินใจของเราในวันนี้









