มีรายงานข่าวชิ้นหนึ่งจากสื่อดังต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น The Atlantic , CNBC หรือแม้แต่ BBC ที่ทำให้หลายคนต้องหยุดคิดและตั้งคำถามกับความเชื่อพื้นฐานในชีวิตเรื่องอนาคตวัยเกษียณ
นักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จำนวนไม่น้อยเริ่มเลิกวางแผนเกษียณ พวกเขาไม่สนใจจะออมเงิน ไม่ซื้อประกันชีวิต ไม่ลงทุนในกองทุนบำเหน็จบำนาญ และไม่เชื่อว่าโลกในแบบที่เรารู้จักจะยังคงอยู่ไปอีกหลายสิบปี
เพราะพวกเขาเชื่อว่า โลกอาจไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘อนาคต’ ให้ได้เกษียณอีกต่อไป..
แต่ไม่ใช่เพราะสงครามใหญ่กำลังจะเกิด หรือวิกฤตโลกร้อนจะละลายอิสระภาพความเป็นอยู่ของเรา แม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นภัยคุกคามจริง แต่สิ่งที่ทำให้นักวิจัย AI หลายคนรู้สึกว่าโลกกำลังเข้าสู่ทางตัน คือพลังที่พวกเขากำลังช่วยกันสร้างขึ้นมากับมือและเติบโตอย่างรวดเร็ว
สิ่งนั้นคือปัญญาประดิษฐ์ที่มนุษย์เราพัฒนามันอย่างก้าวกระโดดในระดับที่ไม่สามารถควบคุมได้
จาก 1 คำเตือน สู่การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของ 2 นักวิจัย
เนท โซอาร์ส ประธานของสถาบันวิจัยปัญญาเครื่องจักร บอกกับนิตยสาร ดิแอตแลนติก ว่า “ผมไม่คาดหวังว่าโลกจะยังอยู่ต่อไป” เขาจึงหยุดจ่ายเงินเข้ากองทุนเกษียณ
ในขณะเดียวกัน แดน เฮนดริกส์ ผู้อำนวยการศูนย์ความปลอดภัย AI ก็แสดงมุมมองที่คล้ายกัน เขาคาดการณ์ว่าเมื่อถึงวัยเกษียณ ‘ทุกอย่างจะเป็นอัตโนมัติหมด’ หากมนุษย์ยังอยู่รอดอีกถึงตอนนั่น
สองบุคคลนี้นำองค์กรที่มุ่งป้องกันไม่ให้ AI กำจัดมนุษยชาติ แต่กลับเห็นภาพอนาคตในแบบที่ทำให้พวกเขาไม่คิดวางแผนชีวิตในบั้นปลายอีกต่อไป
เหตุผลเบื้องหลังความเชื่อนี้ไม่ได้มาจากความฟุ้งซ่าน หากแต่มาจากการประเมินแบบนักวิทยาศาสตร์ที่เรียบเย็น
เจฟฟรีย์ ฮินตัน นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับฉายาว่า ‘เจ้าพ่อแห่ง AI’ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประเมินว่า AI มีโอกาส 10-20 เปอร์เซ็นต์ที่จะนำไปสู่การสูญพันธุ์ของมนุษย์ในสามทศวรรษข้างหน้า(ซึ่งสูงมากพอที่เราควรวางแผนและมาตรการป้องกัน)
เขายังปรับลดคาดการณ์เวลาการพัฒนา AI ระดับมนุษย์ จากเดิม 30-50 ปี เหลือเพียง 5-20 ปี
ฮินตันเปรียบเทียบสถานการณ์นี้ว่า “เราเหมือนคนเลี้ยงเสือเป็นสัตว์เลี้ยง” ตอนเป็นลูกเสืออาจน่ารัก แต่เมื่อโตขึ้นจะต้องแน่ใจว่ามันไม่ฆ่าเจ้าของ แต่สำหรับ AI “เราไม่มีทางกำจัดมันได้
แมกซ์ เท็กมาร์ค ศาสตราจารย์จาก MIT เตือนว่า “เรายังมีเวลาอีกเพียงสองปีก่อนที่เราจะสูญเสียการควบคุมมัน” ขณะที่บริษัท AI หลายรายยังไม่มีแผนการป้องกันเรื่องนี้
ความกลัวแบบนี้ไม่ได้มาจากคนธรรมดาทั่วไป แต่มาจากนักวิจัยในห้องแล็บ ผู้มีปริญญาเอก ผู้เคยอยู่เบื้องหลังการสร้างระบบอัลกอริธึมอัจฉริยะ บางคนเคยทำงานให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ บางคนเคยพูดเตือนในเวทีระดับโลก และวันนี้ พวกเขาไม่วางแผนจะอยู่ถึงวันเกษียณอีกต่อไป
คำถามคือ ทำไม?
มนุษย์เราเคยเชื่อในแนวคิด ‘ชีวิตมีเส้นตรง’ เราทำงานในวัยหนุ่มสาว เก็บเงิน สร้างครอบครัว จากนั้นพักผ่อนในวัยชรา
โลกสอนให้เราอดทน สั่งสม และมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง แต่ถ้าคนกลุ่มที่ใกล้ชิดกับเทคโนโลยีที่สุด กำลังหมดศรัทธากับแนวคิดนี้ นั่นอาจไม่ใช่แค่ความหวาดกลัวธรรมดา แต่คือการตั้งคำถามถึงโครงสร้างของความหวังที่เรายึดถือมาตลอด
การหยุดออมเงินเกษียณของนักวิจัย AI กลายเป็นการแสดงออกทางการเงินที่สะท้อนความเชื่อส่วนลึก มันไม่ใช่แค่การจัดการความเสี่ยงทางการเงิน แต่เป็นการประกาศจุดยืนทางปรัชญาต่อการมีชีวิตอยู่
เมื่อคนที่สร้างเทคโนโลยีไม่เชื่อว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน นี่คือสัญญาณเตือนที่ร้ายแรงที่สุด
ในขณะเดียวกัน ผู้นำอุตสาหกรรมและนักการเมืองหลายคนยังคงผลักดันการพัฒนา AI ด้วยความเร็วสูงเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน
แรงกดดันจากการแข่งขันทำให้ความปลอดภัยและจริยธรรมถูกละเลย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญเตือน
สุดท้ายนี้ผมก็อยากให้ผู้อ่านทุกท่านที่ได้อ่านข่าวนี้ คิด วิเคราะห์ และได้รับตระหนักรับรู้ถึงการเตือนของนักวิจัยเหล่า และโฟกัสที่การผลักดันมาตรการรับมือด้านความปลอดภัยของ AI
มากกว่าการละทิ้งทุกอย่างในวัยเกษียณตามที่นักวิจัยเหล่านั้นได้แสดงออกผ่านการพังแผนการเงินในวัยเกษียณของตัวเอง
เพราะสุดท้ายการมีชีวิตอยู่ก็ต้องใช้เงินไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน ถ้าสังคมมนุษย์ยังคงอยู่เรามีตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเสมอ
Source : The Atlantic , CNBC , BBC











