IDA Project
SIEMENS WinCC
openAI มองไปยัง Google cloud

ผู้ใช้ ChatGPT พุ่งจน OpenAI หันไปจีบ Google Cloud 

Date Post
17.07.2025
Post Views

ช่วงนี้ใครเลื่อนฟีดข่าววงการเทคโนโลยี น่าจะเริ่มเห็นชื่อ OpenAI หรือ ChatGPTโผล่มากันไม่หยุด แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? สำคัญแค่ไหน? แล้วเกี่ยวอะไรกับคนทั่วไปหรือกับองค์กรในไทยยังไง ? เรามาดูกันว่าสัญญาณครั้งนี้อาจบอกอะไรกับเรามากกว่าที่เราคิด

เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเพิ่ม Google Cloud เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการให้บริการ ChatGPT และ API ของตน ซึ่งเดิมที OpenAI พึ่งพา Microsoft Azure เป็นหลัก ร่วมกับ CoreWeave และ Oracle ในการรองรับการให้บริการในหลายภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร

ทำไม OpenAI ถึงต้องหาคู่หูใหม่ขณะที่ยังมี Microsoft อยู่

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม OpenAI ถึงต้องไปหาพาร์ทเนอร์ใหม่ ในขณะที่ Microsoft ยังคงเป็นนักลงทุนหลักและมีข้อตกลงพิเศษในการใช้ API อยู่แล้ว ถ้าให้ตอบสั่น ๆ ก็คงอยู่ที่ความต้องการพลังการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ และความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยง

ในความเป็นจริง OpenAI กำลังประสบกับปัญหาความหิวโหย ‘พลังประมวลผล’ ที่รุนแรงมาก การที่ ChatGPT มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ควบคู่กับการพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความต้องการ GPU และทรัพยากรการประมวลผลเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ การพึ่งพาผู้ให้บริการรายเดียวจึงเป็นความเสี่ยงที่ OpenAI ไม่อยากรับไว้ เพราะหากเกิดปัญหากับโครงสร้างพื้นฐานของ Microsoft ขึ้นมา ผู้ใช้ ChatGPT ทั่วโลกอาจได้รับผลกระทบทันที

การเพิ่ม Google Cloud เข้ามายังให้ประโยชน์เชิงกลยุทธ์หลายประการ ประการแรกคือการเข้าถึง Tensor Processing Units (TPUs) ของ Google ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI และอาจให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า GPU ทั่วไปในบางงาน ประการที่สองคือการมีอำนาจต่อรองที่เพิ่มขึ้น เมื่อมีตัวเลือกมากขึ้น OpenAI สามารถเจรจาข้อตกลงที่ดีกว่าได้ทั้งในเรื่องของราคาและเงื่อนไขการให้บริการ

สงครามเงียบ ๆ ในวงการคลาวด์ AI

การที่ Google Cloud ได้รับเลือกจาก OpenAI ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ในสงครามการแข่งขันด้านบริการคลาวด์ที่กำลังดุเดือด ปัจจุบันตลาดบริการคลาวด์โลกถูกครองโดย Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure และ Google Cloud โดย AWS ยังคงเป็นผู้นำ แต่การแข่งขันในส่วนของบริการ AI กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับ Google Cloud การได้รับความไว้วางใจจาก OpenAI ไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันความสามารถในการรองรับ workload ระดับโลกและเป็นการส่งสัญญาณให้ตลาดเห็นว่า Google Cloud สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ได้อย่างเสมอภาค โดยเฉพาะในยุคที่ทุกองค์กรต้องการนำ AI มาใช้ในธุรกิจ

ที่น่าสนใจคือแม้ Microsoft จะยังคงเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญของ OpenAI แต่ความสัมพันธ์ได้เปลี่ยนจากการผูกขาดมาเป็นรูปแบบที่เปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตและความเป็นอิสระมากขึ้นของ OpenAI ที่ไม่ต้องการพึ่งพาพาร์ทเนอร์รายใดรายหนึ่งมากเกินไป

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะในระดับโลกเท่านั้น แต่ยังมีนัยสำคัญต่อองค์กรไทยที่กำลังพิจารณาหรือใช้บริการ AI อยู่ด้วย การที่ OpenAI มีตัวเลือกผู้ให้บริการที่หลากหลายขึ้น หมายถึงความเสถียรของบริการที่ดีขึ้น ลดโอกาสที่บริการจะหยุดชะงักจากปัญหาทางเทคนิคของผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง

สำหรับธุรกิจไทยที่กำลังพิจารณาการนำ AI มาใช้ในองค์กร การมีผู้ให้บริการหลากหลายยังหมายถึงการมีตัวเลือกมากขึ้นในการเลือกใช้บริการผ่าน platform ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Azure OpenAI หรือการเข้าถึงผ่าน Google Cloud โดยแต่ละ platform อาจมีข้อดีในด้านต่างๆ เช่น การผสานรวมกับระบบที่มีอยู่ ราคา หรือฟีเจอร์เฉพาะ

Multi-Cloud Strategy กลยุทธ์ใหม่ของยุค AI

สิ่งที่เราเห็นจากการตัดสินใจของ OpenAI คือการยอมรับในแนวคิด ‘Multi-Cloud Strategy’ ที่กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แทนที่จะพึ่งพาผู้ให้บริการรายเดียว องค์กรสมัยใหม่เริ่มกระจายความเสี่ยงโดยใช้บริการจากหลายผู้ให้บริการพร้อมๆ กัน

กลยุทธ์นี้ให้ประโยชน์หลายประการ ทั้งการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้ให้บริการรายเดียว การเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจาราคา และความยืดหยุ่นในการเลือกใช้บริการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละงาน การที่ OpenAI เลือกใช้ Oracle สำหรับพลังการประมวลผลขนาดใหญ่ กับ Google Cloud สำหรับ TPUs และ Microsoft Azure สำหรับการรองรับทั่วไป แสดงให้เห็นถึงการวางแผนที่ละเอียดและเฉพาะเจาะจง

สำหรับองค์กรไทย การเรียนรู้จากกลยุทธ์นี้อาจเป็นประโยชน์ในการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของตนเอง แทนที่จะผูกมัดกับผู้ให้บริการรายเดียว การมีแผนสำรองและการกระจายความเสี่ยงอาจเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้นในอนาคต

แล้วสุดท้ายเราควรเตรียมตัวยังไง? การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บอกเราว่าวงการ AI กำลังเข้าสู่ช่วงที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ที่ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผูกพันทางอารมณ์หรือประวัติศาสตร์ แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มองระยะยาว

Source : AInvest , Tech Startups , Seeking Alpha

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม