Data Center และบริการ Cloud ขับเคลื่อนการลงทุนไตรมาส 2 พุ่งทะยาน

Data Center และบริการ Cloud ขับเคลื่อนการลงทุนไตรมาส 2 พุ่งทะยาน

Date Post
17.06.2025
Post Views

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยไตรมาส 2 นั้นเกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจาก 2 กลุ่ม ได้แก่ Data Center และบริการด้าน Cloud

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนไทยไตรมาส 2/68 ว่า ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปี 67 และไตรมาส 1/68 โดย FDI จากผู้ลงทุนหลักยังเข้ามาตั้งฐานในไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยเฉพาะในกิจการ Data Center, บริการด้าน Cloud, ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI, ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ, ซัพพลายเชนของกลุ่ม PCB, อุปกรณ์โทรคมนาคมและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของยานยนต์ รวมถึงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเติบโตตามแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำต่อภาคธุรกิจในความจำเป็นที่มีต่อการปรับตัวให้สามารถอยู่กับโลกที่มีความไม่แน่นอน แม้ว่าในระยะสั้นอาจมีความผันผวนรายวัน รายสัปดาห์ แต่หากพิจารณาในระยะยาว ยังต้องเจอกับทั้งสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี (Trade War & Tech War) ระหว่างมหาอำนาจไปอีกสักระยะหนึ่ง

สิ่งหนึ่งที่ภาคธุรกิจจะได้พบเห็น คือ การปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่ของบริษัทข้ามชาติเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่น ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาและจีนที่เป็นคู่ขัดแย้งกันนั้นกลับมีการใช้ซัพพลายเชนร่วมกันอยู่มาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, แบตเตอรี่และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง รวมถึงดิจิทัลและ AI แม้จะมีความพยายามแยกห่วงโซ่ออกจากกัน แต่ในช่วงเวลาอันใกล้นี้อาจยังไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในทันที

สำหรับประเทศไทยนั้น ที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนของทั้งสหรัฐอเมริกา และจีน รวมถึงประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และยุโรป ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ไทยมีโอกาสทำหน้าที่สะพานเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสองขั้วมหาอำนาจได้ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การเตรียมตัวให้พร้อมรับโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมบุคลากรทักษะสูง, โครงสร้างพื้นฐาน, พื้นที่ใหม่รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม, ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดที่มีราคาแข่งขันได้, น้ำที่เพียงพอและซัพพลายเชนสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เริ่มเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย เช่น เซมิคอนดักเตอร์, PCB, อุปกรณ์ Data Center, แบตเตอรี่ในระดับเซลล์, ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอากาศยาน โดยต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับขีดความสามารถและเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนเหล่านี้ให้มากที่สุด  

ขณะเดียวกันก็ต้องผลักดันอุตสาหกรรมที่ไทยมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ให้เติบโตไปสู่ตลาดโลก และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร, การแพทย์และสุขภาพ, เทคโนโลยีชีวภาพและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ถ้าทำได้ตามนี้ ประเทศไทยจะอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งมีความยืดหยุ่นในการรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ และจะได้รับโอกาสสูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงในโลกที่เกิดขึ้น        

การลงทุนตั้งฐานการผลิตนั้นเป็นการวางแผนระยะยาว บริษัทต่าง ๆ เริ่มมองข้ามความผันผวนระยะสั้น ก้าวเข้าสู่การวางกลยุทธ์การลงทุนในระยะยาว โดยการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นของธุรกิจ เลือกแหล่งลงทุนที่มีพื้นฐานแข็งแรง มีความมั่นคง ปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำ และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ ซึ่งประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาวได้ โดยเฉพาะการใช้ไทยเป็นฐานธุรกิจหลัก เพื่อขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดโลก 

ที่มาข่าว:
ฐานเศรษฐกิจ

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire