คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกประกาศปรับกรอบเวลาใหม่ สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565–2573 กลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง (No Fuel Cost) รอบ 2.1 โดยขยายเส้นตายการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ออกไปเป็นภายในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 และกำหนดใหม่สำหรับการเริ่มขายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตามปีที่แต่ละโครงการกำหนดไว้
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้สืบเนื่องจากคำสั่งของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าเพื่อทบทวนความจำเป็นและค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มกำลังผลิต 2,180 เมกะวัตต์ ที่กำลังเจรจาเพื่อลดอัตรารับซื้อไฟฟ้ากับ กฟผ. กฟภ. กฟน. และ สนพ. โดยผู้ประกอบการหลายรายยื่นหนังสือขอความชัดเจน เนื่องจากผลกระทบทำให้ไม่สามารถเดินหน้าลงนามใน PPA ได้ทันตามแผน
✦ มุมมองในภาคอุตสาหกรรมของทาง MM Thailand
การขยับกรอบเวลาของ กกพ. สะท้อน “แรงเบรก” ทางนโยบายที่กำลังฉุดการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนไทย แม้ความต้องการลงทุนจากภาคเอกชนยังแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มโซลาร์-วินด์ ซึ่งมีศักยภาพเชิงเทคนิคและต้นทุนต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลัง
อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการลงนามสัญญา PPA อาจส่งผลให้ภาคธุรกิจพลังงานต้องชะลอแผนจัดซื้ออุปกรณ์ ลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน และกระทบต่อผู้ผลิตในห่วงโซ่อุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตอินเวอร์เตอร์ โครงสร้างเหล็ก ตลอดจนผู้รับเหมาก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้า ซึ่งกระทบต่อแรงงานและเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ
หากภาครัฐไม่เร่งคลี่คลายข้อผูกมัดระหว่างความจำเป็นในการลดภาระค่าไฟ กับเป้าหมายระยะยาวด้านพลังงานสะอาด อาจทำให้ไทยเสียจังหวะสำคัญในการแข่งขันด้านพลังงานของภูมิภาคในระยะยาว
ที่มาข่าว:
สำนักข่าวอินโฟเควสท์










