CEO บริษัท Intel ออกมายอมรับว่า ‘สายไปแล้ว’ สำหรับยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่จะไล่ตามการแข่งขันในตลาด AI ซึ่งปัจจุบัน Intel หลุดโผบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 10 อันดับแรก ซึ่งบริษัทได้ปลดพนักงานหลายพันชีวิตทั่วโลก
สถานการณ์ของ Intel ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นอยู่ในสภาวะที่ต้องดิ้นรนอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการพัฒนาสถาปัตยกรรมชิป x86 ด้วย big.LITTLE หรือกลุ่ม ARM ที่ล้มเหลวในการทำส่วนแบ่งในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิปรุ่นใหม่ Arrow Lake ที่แทบจะสู้ AMD ไม่ไหวแล้ว ในขณะที่ส่วนของ GPU เองก็ถูกทิ้งห่างออกไป แม้ว่าจะไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว แต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าแข่งขันได้จริง แตกต่างจาก 20 – 30 ปีก่อนที่ยังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อยู่
อดีตที่เคยยิ่งใหญ่ของ Intel นั้นเคยครองตลาด CPU รายเดียวอยู่พักใหญ่ และยังเคยจะเข้าซื้อ Nvidia ในราคา 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งในวันนี้มีมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้วย
การบริหารแบบแนวดื่งเคยเป็นหัวใจของความแข็งแกร่งสำหรับ Intel แต่ในปัจจุบันอาจดูเหมือนยักษ์ที่เชื่องช้าอย่างมาก การผลิตในปัจจุบันเริ่มมีการจ้าง TSMC ในการผลิต เช่น Meteor Lake และ Lunar Lake ซึ่งสัดส่วนการผลิตของ TSMC จะคิดเป็น 30% ของการผลิตเดิมจาก Intel
นอกจากนี้ Intel ยังมีการลดรายจ่ายด้วยการเลิกจ้างหลายพันชีวิตทั่วโลก ซึ่งต้นทุนนั้นได้ทะยานขึ้นจากส่วนของการวิจัยและพัฒนาสำหรับ Node ในอนาคต ทำให้ Intel ต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียต้นทุนกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 3 ปี 2567 ดังนั้นการกลับมาของ Intel จึงเป็นเหมือนการวิ่งมาราธอนมากกว่า โดยผู้บริหารนั้นต้องการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร และสร้างความถ่อมตัวในการรับฟังอุปสงค์ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม
Intel ยังต้องการที่จะเป็นอย่าง AMD และ NVIDIA ที่มีความรวดเร็วในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของ AI ทำให้แทนที่จะมุ่งเป้าไปยัง EDGE AI จึงเปลี่ยนทิษไปยังการประมวลผล AI บนอุปกรณ์อย่างคอมพิวเตอร์พกพาแทนการประมวลผลบน Cloud
ปัจจุบัน Intel ยังคงตามหลังในเรื่องของ CPU สำหรับ Data Center ด้วย ซึ่ง EPYC จาก AMD ได้ก้าวข้ามยักษ์ใหญ่สีฟ้ามาในช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนตัว CEO ของบริษัท และการเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งข่าวลือในการแบ่งบริษัทเป็น 2 ส่วน แยก Foundry หรือส่วนการผลิตออกเป็นอีกกิจการหนึ่ง
ที่มาข่าว:
tom’s Hardware










