สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจี้ทบทวนร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ชี้ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน อาจกระทบเศรษฐกิจและการจ้างงานในหลายด้าน โดยเฉพาะการลดชั่วโมงทำงาน-เพิ่มวันหยุด จะทำให้แรงงานมีรายได้ลดลง 16-17% ขณะที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนเพิ่ม 17% หวั่น SME ปิดกิจการเพิ่ม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า “ตามที่เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นำโดย ดร.เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย และกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือถึงภาครัฐและนายจรัส คุ้มไข่น้ำ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน เพื่อแสดงข้อกังวลและข้อเสนอแนะต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน เนื่องจาก กกร. เห็นว่าควรมีการดำเนินการอย่างรอบคอบ สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและความพร้อมของประเทศ จึงควรมีการประเมินผลกระทบเชิงปริมาณอย่างชัดเจน พร้อมจัดทำมาตรการรองรับที่เหมาะสม ในส่วนของ ส.อ.ท. เอง ได้มีการยื่นหนังสือชี้ข้อกังวล และข้อเสนอแนะ ไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจาก ส.อ.ท. ได้ศึกษาและวิเคราะห์ร่างกฎหมายดังกล่าว และรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ พบว่า ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานในหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นสำคัญดังนี้ การลดชั่วโมงทำงานปกติ จาก 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ เหลือ 40 ชั่วโมง การเพิ่มวันหยุดประจำสัปดาห์ จาก 1 วัน เป็น 2 วัน การเพิ่มสิทธิวันหยุดพักผ่อนประจำปี จาก 6 วัน เป็น 10 วัน”
ส.อ.ท. เห็นว่า การปรับลดชั่วโมงทำงานและเพิ่มวันหยุดจะ เพิ่มต้นทุนการผลิต ลดกำลังการผลิต บั่นทอนความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการและประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การปิดกิจการและกระทบการจ้างงาน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ (FDI)
ส.อ.ท. เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ครอบคลุมเพียงพอแล้วตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน การเพิ่มวันหยุดและสิทธิอื่นๆ ควรเป็นสวัสดิการที่สถานประกอบการกำหนดเองตามความเหมาะสมและความพร้อม ไม่ควรบังคับเป็นกฎหมายทั่วไป เนื่องจากร่างที่แก้ไขเพิ่มเติมบางมาตราไม่ตอบโจทย์สภาพแรงงานปัจจุบัน ส่งผลให้แรงงานขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และไม่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จึงเสนอในส่วนของมาตราที่สำคัญและผลกระทบ ดังนี้
มาตรา 3 – ชั่วโมงทำงาน ร่างกฎหมายเสนอให้ลดชั่วโมงทำงานจาก 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็น 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้รายได้แรงงานลดลงประมาณ 16–17% ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องปรับการจัดการแรงงานและเพิ่มต้นทุนการผลิต
มาตรา 4 – วันหยุดประจำสัปดาห์ ร่างเสนอเพิ่มวันหยุดประจำสัปดาห์จาก 1 วันเป็น 2 วัน ซึ่งอาจลดกำลังการผลิตและเพิ่มต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการถึง 17% รวมถึงส่งผลให้รายได้แรงงานลดลงตามวันหยุดเพิ่ม
มาตรา 5 – วันหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างมีสิทธิวันหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่า 10 วันต่อปี แต่ ส.อ.ท. เห็นว่าควรเป็นสวัสดิการที่สถานประกอบการกำหนดเองตามความเหมาะสม ไม่ควรบังคับเป็นกฎหมาย เพราะอาจเพิ่มภาระในการบริหารจัดการและต้นทุนการจ้างงาน โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีจำนวนมากกว่า 95% ของประเทศ จะประสบปัญหาในทางปฏิบัติและการบริหารจัดการเรื่องการคำนวณจำนวนวันหยุดและกำหนดวันหยุด สำหรับลูกจ้างที่ยังไม่ผ่านทดลองงานหรือทำงานไม่ครบปี
ที่มาข่าว:
สำนักข่าวไทย










