สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 86.6 ปรับตัวลดลงจาก 87.7 ในเดือนมิ.ย. 68 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดน โดยในเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 10,907.53 ล้านบาท ลดลง 32.29% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค. 68 (MoM) และลดลง 23.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 86.6 ปรับตัวลดลง จาก 87.7 ในเดือนมิถุนายน 2568 ขณะที่ดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 89.2 ลดลงจาก ระดับ 90.8 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า องค์ประกอบส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงยกเว้น ต้นทุนการประกอบการ (ผกผัน) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า องค์ประกอบส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงเช่นกัน ยกเว้น ต้นทุนการประกอบการ (ผกผัน) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ปัจจัยส่งผลบวก
- โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 จำนวน 500,000 สิทธิ์ ภายใต้งบประมาณ 1,750 ล้านบาท (เริ่ม 1 ก.ค. 2568)
- การลงทุนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.06 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 138%YoY
- ราคาน้ำมันทรงตัว
ปัจจัยส่งผลลบ
- ข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
- สถานการณ์อุทกภัยและน้ำป่าไหลหลาก
- ความกังวลต่ออัตราภาษี Reciprocal Tariff
- ความกังวลต่อการจัดทำงบประมาณปี 2569 ที่อาจล่าช้า และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568
- กำลังซื้อในประเทศชะลอตัวในหมวดสินค้าคงทน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และเครื่องจักรกล
มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
1. เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้โดยเร็ว พร้อมทั้งจัดทำโครงการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา เพื่อบรรเทาผลกระทบ และลดความเสี่ยงต่อการประกอบธุรกิจในระยะยาว
2. เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือเงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินและสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ ในการปรับตัวเพื่อรับมือกับอัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่ประกาศในวันที่ 1 ส.ค. 68
3. เสนอให้ภาครัฐเร่งลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบ เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกัก กระจายน้ำ และฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำอย่างยั่งยืน
ที่มาข่าว:
Infoquest











