คณะกรรมการนโยบายการเงิน มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปีต โดยประเมินว่าอยู่ในระดับเหมาะสมกับการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว เป็นผลจากการที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ ในขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 3/2568 ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยกรรมการ 1 ท่าน เสนอให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% กลายเป็นอัตราดอกเบี้ย 1.5% เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินของกลุ่มเปราะบาง และสนับสนุนการปรับตัวทางเศรษฐกิจในช่วงชะลอตัว
เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีกว่าคาดจากภาคการผลิต โดยเฉพาะในไตรมาสแรกที่ GDP โตถึงร้อยละ 3.1 และคาดว่าเฉลี่ยครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ร้อยละ 2.9 อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายการเงินคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง และต่อเนื่องถึงปี 2569 จากแรงกดดันด้านการค้า Demand ที่อ่อนแรง และความไม่แน่นอนในหลายด้าน คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวร้อยละ 2.3 และชะลอลงเหลือร้อยละ 1.7 ในปี 2569
หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือแนวโน้มการส่งออกที่ยังชะลอตัว โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ที่ต้องติดตามผลการเจรจาภาษีอย่างใกล้ชิด โดยได้ตั้งสมมติฐานว่าภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สำหรับสินค้าจากไทยจะอยู่ที่ประมาณ 18% ซึ่งสูงกว่าบางประเทศที่ได้รับสิทธิภาษีในระดับ 10%
นอกจากนี้ยังมีการประเมินสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ที่เกิดความตึงเครียดขึ้นบ้างตามแนวชายแดน แต่คาดว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญในระยะนี้ ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวมผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ เนื่องจากยังไม่ทราบทิศทางที่ชัดเจน
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน เช่น ราคาพลังงานและอาหารสด ขณะที่ค่าครองชีพของประชาชนยังอยู่ในระดับสูง ความต้องการสินเชื่อลดลงในหลายกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง สะท้อนผ่านสัดส่วนหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ SME
สาเหตุสำคัญของภาวะชะลอตัวมาจากการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังต่ำกว่าคาด ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกล แม้มีรายจ่ายต่อหัวสูง แต่ไม่สามารถชดเชยจำนวนที่ลดลงได้เต็มที่ กนง. ได้ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวปีนี้เหลือ 35 ล้านคน และปีหน้า 38 ล้านคน
อีกหนึ่งแรงกดดันคือปัญหา Over Supply และการนำเข้าสินค้าราคาต่ำจากต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการรายย่อยและ SMEs โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหารและบริการ เช่น ร้านอาหารและโรงแรม ที่เปิดเพิ่มขึ้นจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่รายได้เฉลี่ยต่อรายลดลงจากการแข่งขันและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่เป็นไปตามคาด
มาตรการเสริมที่เหมาะสมในการป้องกันการทุ่มตลาด และดูแลต้นทุนการผลิตในประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเกิดขึ้น รวมถึงส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในตกไปอยู่กับสินค้านำเข้าแทนที่จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย
ที่มาข่าว:
สำนักข่าวไทย








