SIEMENS WinCC
Gen Z

วิกฤตแรงงาน! เด็กจบใหม่เลือกอาชีพอิสระมากกว่างานประจำ

Date Post
03.09.2025
Post Views

แรงงาน Gen Z เข้าสู่สภาวะวิกฤต เด็กจบใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานช้า ทำอาชีพอิสระ ไม่สนใจการจ้างงานแบบประจำ ทำให้แรงงานเกิดความขาดแคลน แม้มีความเชี่ยวชาญด้าน AI แต่กลับขาดทักษะการทำงานในสภาวะกดดัน

ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ไตรมาส 2 ปี 2568 มีผู้ใช้แรงงานทั้งสิ้น 40.12 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 39.51 ล้านคน และว่างงาน 0.37 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 0.9% โดยมีผู้รอฤดูกาลอีก 0.24 ล้านคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานมีจำนวน 19.31 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเด็ก/ผู้สูงอายุ/ผู้ป่วย หรือผู้พิการที่ทำงานไม่ได้ และผู้ที่ทำงานบ้านหรือกำลังเรียนหนังสือ

ในจำนวนผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน พบว่าเป็นผู้ที่เคยทำงานมาก่อน 1.38 แสนคน โดยส่วนใหญ่เคยทำงานในภาคบริการและการค้า 92,000 คน (66.8%), ภาคการผลิต 33,000 คน (24.1%) และภาคการเกษตร 13,000 คน (9.1%) ในขณะที่ผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน มีจำนวน 228,000 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยเยาวชนอายุ 15-24 ปี คิดเป็น 75.8% ซึ่งเป็นกลุ่มที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นครั้งแรก และวัยผู้ใหญ่อายุ 25 ปีขึ้นไปคิดเป็น 24.2% สะท้อนแนวคิด Gen Z ที่ไม่ได้ยึดคิดกับการเป็นลูกจ้างประจำอย่างคนรุ่นก่อนหน้า หันไปประกอบอาชีพอิสระหรือสร้างธุรกิจของตัวเอง เป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน และนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิตและภาคเกษตรกรรม

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่า Gen Z เป็นกลุ่มประชากรที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อตลาดแรงงานในอนาคตที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ เนื่องจากบางส่วนเลือกจะไม่เรียนต่อจากความกังวลต่อระบบการศึกษา เข่น คุณภาพการศึกษาและค่าใช้จ่ายในการเรียน รวมถึงมุมมองความคิดที่มองเห็นว่าระบบการเรียนไม่มีความยืดหยุ่น พบว่าในปี 2557 กลุ่ม Gen Z เข้าสู่ตลาดแรงงานช้าลง มีการว่างงานมากกว่า 1 ปีอยู่ที่ 1.2 % และเพิ่มเป็น 13.6 % ในปี 2567 สูงกว่าทุกช่วงอายุก่อนหน้า ทั้งยังมีอัตราการว่างงานในกลุ่มผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนสูงสุดที่ 48.5%

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการให้ความสำคัญกับการค้นหาตัวเอง (Gap Year) มีความเป็นผู้ประกอบการในตัวเองสูง โดยหันไปทำธุรกิจส่วนตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อน Covid 19 โดยในปี 2563 Gen Z เลือกทำงานเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้างในสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ 0.4% ต่อปี เพิ่มเป็น 1.8% ถึงช่วงปัจจุบัน

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวคิดในการจัดสรรเวลาและชีวิตให้เกิดความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่เรียกกันว่า Work-Life Balance ซึ่ง Gen Z ให้ความสำคัญที่สุด โดยพร้อมที่จะเปลี่ยนงานหากพบว่าบริษัทไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อีกต่อไป

สศช. ชี้ทัศนคติและพฤติกรรมของ Gen Z ที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความกังวลของผู้ประกอบการในการรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทัศนคติและพฤติกรรมบางประการที่อาจไม่คุ้มต่อการจ้างงาน อาทิการลาออกหรือ เปลี่ยนงานบ่อย การเข้าสู่ตลาดแรงงานช้าที่ทำให้มีประสบการณ์ในการงานน้อย จะส่งผลต่อความเสี่ยงที่เด็ก Gen Z จะว่างงานเพิ่มขึ้น แม้ว่ากลุ่ม Gen Z จะมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพึ่งพา AI มากเกินไป ที่อาจทำให้ระบบการเรียนรู้ของผู้ใช้ถดถอย ตลอดจนขาดทักษะการใช้งาน AI เชิงลึก และขาดการคิดเชิงวิพากษ์ต่อผลลัพธ์จาก AI ที่เหมาะสม

รายงานของ Work Trend Index 2024 พบว่า Gen Z มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงาน โดยมีการนำ AI มาใช้ในงานถึง 85% สูงกว่าช่วงอายุอื่นและค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 75% และมีแนวโน้มที่จะขาด Soft Skills ที่จำเป็นต่อการทำงาน โดยเฉพาะทักษะ ด้านการสื่อสาร

ค่านิยมความสำเร็จของ Gen Z เองก็เปลี่ยนไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาเงินได้กลายเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ ในขณะที่การเลือกงานมักมาจากความชอบและค่านิยมมากกว่าการให้ความสำคัญกับความมั่นคงดังเช่นคนรุ่นก่อนหน้า การรับมือกับเทรนด์แรงงานรุ่นใหม่อย่าง Gen Z นั้นประเด็นของความยืดหยุ่นจึงมีความสำคัญอย่างมาก

ที่มาข่าว:
ฐานเศรษฐกิจ

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire
ลงทะเบียนร่วมงาน Automation Expo