The New York Times ได้เผยแพร่เนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาการเติมเต็มแรงงานในภาคการผลิตของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันที่มีตำแหน่งงานว่างสูงถึง 4 แสนตำแหน่ง
ภายใต้สภาวะของการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านของผู้คนแต่ละยุคในสหรัฐอเมริกา Baby Boomer นั้นได้เข้าสู่ช่วงเวลาเกษียณและผู้คนยุคใหม่เดินหน้าเข้าสู่ตลาดงานเพื่อทดแทนแรงงานที่หายไป แต่ทว่าข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่ามีตำแหน่งงานว่างในโรงงานอุตสาหกรรมที่สูงถึง 400,000 ตำแหน่ง ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญลำดับต้น ๆ ของสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี 2017
‘ค่านิยมและภาคการศึกษา’ 2 กำแพงสำคัญที่ทำให้ภาคการผลิตอเมริกาขาดแคลนแรงงาน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘การศึกษา’ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการทำงาน การพัฒนาองค์ความรู้ และการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับชีวิต ซึ่งในสหรัฐอเมริกาเองก็มีค่านิยมที่จะต้องเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นบันไดขั้นหนึ่งสู่การประสบความสำเร็จในชีวิตเช่นกัน
การเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทำให้เกิดเป็นแรงงานที่มีทักษะในสายงานอันหลากหลาย ในขณะที่การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นแรงงานระดับ Blue Collar อาจไม่ได้ต้องการความรู้ความสามารถในระดับปริญญาในการทำงาน และนอกจากนี้ทักษะในการทำงานจากหลักสูตรในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่อาจไม่เหมาะสมกับการทำงานในโรงงาน โดยในส่วนของค่านิยมของผู้คนที่จบจากมหาวิทยาลัยนั้นยังห่างไกลจากสภาพแวดล้อมการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมาก ประกอบกับการมีรายได้ที่ค่อนข้างน้อยหากเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน รวมถึงงานบริการอื่น ๆ ที่มีเวลายืดหยุ่นมากกว่าทำให้การแก้ไขการขาดแคลนแรงงานนั้นทำได้อย่างยากยิ่ง
ยกตัวอย่างจากอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศแบรนด์หนึ่งที่มีการประกาศงานกว่า 20 ตำแหน่ง แต่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวที่ผ่านเงื่อนไขในการทำงานได้ ซึ่งในอุตสาหกรรมเดียวกันนี้ปัจจุบันมีช่างเทคนิคอยู่ 425,000 คน และอาจต้องการเพิ่มเติมอีกราว 500,000 คนในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ด้วยทิทางการศึกษาและการสนับสนุนของครูแนะแนวให้เข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัยในปัจจุบันยังทำให้มองไม่เห็นโอกาสของอุตสาหกรรมการผลิตในอนาคต
นโยบายแบบ ‘ทรัมป์ ๆ’ ที่ทำให้ซ้ำเติมภาคการผลิตอย่างน่าเสียดาย
จากนโยบายการจัดการกับผู้อพยพเข้าเมืองของโดนัลด์ ทรัมป์ยิง่ทำให้ผลกระทบของการจ้างงานในภาคการผลิตยิ่งเลวร้้ายลงไป จากสถานการณ์เดิมที่มีความขาดแคลนจากแรงงานในประเทศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แม้ว่าจะมีนโยบาย Make America Skilled Again ออกมา แต่ 10% ของการสนับสนุนนั้นต้องใช้ไปกับการฝึกงาน แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการเติมเต็มในความขาดแคลนที่เกิดขึ้นจริง
นอกจากนี้ยังมีข่าวเรื่องของแนวคิดที่ว่าจะให้ข้าราชการที่ถูกปลดออกจากการปรับโครงสร้างภาครัฐของทรัมป์เข้ามาเป็นแรงงานในภาคการผลิต ซึ่งฟังดูไม่สมเหตุสมผลอย่างมากกับชุดของทักษะที่มีในตลาดงานและชุดของทักษะในการผลิตที่ต้องการ
อุตสาหกรรมไทยกับทิศทางค่านิยมที่คล้ายคลึงกับอเมริกา
หากหันกลับมามองประเทศไทย จะพบว่าค่านิยมเรื่องการศึกษาที่เกิดขึ้นนั้นแทบไม่แตกต่างกับสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยแนวโน้มในช่วง 2 – 3 ปี ที่ผ่านมานั้นมีการสนับสนุนการศึกษาสายอาชีพเพื่อการเติบโตเข้าไปสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ประกอบกับค่าครองชีพในประเทศไทยที่ยังไม่สูงมากนัก รวมถึงการที่ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด ทำให้ประเทศไทยยังมีโอกาสในการแข่งขันและการพัฒนาแรงงานเพื่อก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตมากกว่าสหรัฐอเมริกา
จากบทเรียนของสหรัฐอเมริกาจะทำให้เห็นว่านโยบายด้านการศึกษานั้นสอดคล้องกับตลาดแรงงานอย่างแยกไม่ออก ดังนั้นการวางนโยบายทิศทางของประเทศในด้านเศรษฐกิจจึงจำเป็นต้องมีความชัดเจน มีการแบ่งสัดส่วนความต้องการแรงงานที่จับต้องได้ จากนั้นจึงเป็นการวางเส้นทางในด้านการศึกษาเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันสำหรับประเทศในระยะยาว
ที่มาข่าว:
The New York Times











