เปิดเกมโลจิสติกส์ใหม่! ไทย-บังกลาเทศ ดันท่าเรือระนองเชื่อม ‘จิตตะกอง’ ลดเวลาขนส่งเหลือ 3-5 วัน ขยายการค้าเอเชียใต้ – ขึ้นแท่นฮับทะเลอันดามัน
กระทรวงคมนาคมเดินหน้าเชิงรุก ขยายความร่วมมือเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ทางทะเลระหว่างท่าเรือระนองและท่าเรือจิตตะกองของบังกลาเทศ ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมเส้นทางเดินเรือใหม่ในภูมิภาค BIMSTEC ซึ่งจะสามารถลดระยะเวลาการขนส่งจากเดิมที่ใช้เวลาระหว่าง 7–15 วัน ให้เหลือเพียง 3–5 วันเท่านั้น
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการยกระดับท่าเรือภูมิภาคให้สามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจเอเชียใต้ และมหาสมุทรอินเดียได้โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา อีกทั้งยังเป็นการเสริมบทบาทของท่าเรือระนองให้กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลฝั่งอันดามันในอนาคต
ด้านการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เตรียมแผนลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือระนองอย่างครบวงจร ทั้งในส่วนของการจัดหาเครนหน้าท่า เครื่องมือทุ่นแรง การปรับปรุงคลังสินค้า ท่าเทียบเรือ และการพัฒนาระบบเชื่อมต่อทางถนน ราง และอากาศให้เกิดการบูรณาการอย่างไร้รอยต่อ เพื่อรองรับปริมาณสินค้าที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
ในขณะเดียวกัน กทท. ยังเร่งดำเนินงานด้านส่งเสริมตลาด ด้วยการจับมือกระทรวงพาณิชย์ การต่างประเทศ และสถานทูตทั้งสองประเทศในการผลักดันกิจกรรม Roadshow และ Business Matching เชื่อมโยงผู้ประกอบการและกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ เช่น แร่ดินขาว อาหารทะเล และสินค้าเกษตร เพื่อสร้างความพร้อมสำหรับการเปิดเส้นทางเดินเรือเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน
ท่าเรือจิตตะกองของบังกลาเทศในปัจจุบัน ถือเป็นท่าเรือหลักที่รองรับการค้าทางทะเลกว่า 90% ของประเทศ และมีอัตราการเติบโตของตู้คอนเทนเนอร์เฉลี่ยสูงถึง 14% ต่อปี ขณะที่บังกลาเทศเองมีจำนวนประชากรมากกว่า 170 ล้านคน และเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 5–7% ต่อปี จึงเป็นตลาดเป้าหมายใหม่ที่ผู้ประกอบการไทยไม่ควรมองข้าม
✦ มุมมองในภาคอุตสาหกรรมของทาง MM Thailand
การผลักดันเส้นทางเดินเรือระนอง–จิตตะกอง ไม่ใช่เพียงการสร้างทางลัดด้านการขนส่ง แต่เป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่สามารถเปลี่ยนโฉม “อุตสาหกรรมการขนส่งสินค้า” ของไทยได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ เช่น อาหารแช่แข็ง เกษตรแปรรูป หรือสินแร่ไทย
หากโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จและปริมาณสินค้าเพียงพอ การเปิดเส้นทางเดินเรือถาวรจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มความเร็ว และสร้างแต้มต่อให้กับภาคส่งออกไทยในตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียใต้
ที่มาข่าว:
ฐานเศรษฐกิจ









