ภายใต้ปัจจัยอันหลากหลายที่ทำให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในสภาวะไม่แน่นอนในขาลง SCGC ได้แสดงความเห็นถึงแนวโน้มที่กำลังเปลี่ยนแปลงขึ้นในทางที่ดีของอุตสาหกรรมนี้ แม้ในอนาคตอันใกล้มีแนวโน้มที่จะเกิดสภาวะที่ใกล้เคียงกัน แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ต่อจากนี้จึงเป็นแนวโน้มของโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้
เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน เดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน แม้สถานการณ์ปิโตรเคมียังคงผันผวนและแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เน้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดเสริมความเข้มแข็งทางการเงิน ส่วนโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) อยู่ระหว่างเตรียมกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์อีกครั้ง
นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เปิดเผยถึงสถานการณ์ปิโตรเคมีในครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงมีความผันผวน และมีการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น อาทิ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์, ความไม่แน่นอนเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา (US Tariff), การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจาก OPEC+ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้อุปสงค์ยังคงชะลอตัว ในขณะที่อุปทานยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่ามีการหยุดผลิตของโรงงานที่มีความสามารถในการแข่งขันต่ำและต้นทุนสูง ซึ่งช่วยชดเชยส่วนของอุปทานที่สูงขึ้น ดังนั้น คาดว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และจะอยู่ในภาวะทรงตัวอีกระยะ โดยพิจารณาได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2568
“แม้ว่าการแข่งขันจะยังรุนแรง แต่สถานการณ์คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้ เพราะเราได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาที่จะให้ความต้องการเพิ่มขึ้น ซึ่งความต้องการใช้เม็ดพลาสติกก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้นกำลังใช้ก็จะมากขึ้น ซึ่งคาดว่าอีก 2-3 ปีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็จะอยู่ในสภาพคล้ายๆปัจจุบัน แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะแย่ลงไปกว่านี้” นายศักดิ์ชัย ชี้ให้เห็นถึงความหวังในอุตสาหกรรมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้วัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้ที่เกิดขึ้นจะรุนแรงและยาวนานกว่าปกติ แต่ SCGC พร้อมรับมือกับความท้าทายและความผันผวนที่เกิดขึ้น โดยกำหนดแผนรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้นได้มีการดูแลต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลดค่าใช้จ่าย, การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น, การดูแลพอร์ตขายของให้มีความยืดหยุ่นสูง ส่วนแผนในระยะยาว การลงทุนในเวียดนามซึ่งเป็น Asset ใหม่แต่เกิดขึ้นมาในช่วงที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีการแข่งขันรุนแรง ซึ่ง SCGC ได้ประกาศว่าจะมีการลงทุนเพิ่มเพื่อนำอีเทนจากสหรัฐอเมริกาเข้ามา ซึ่งหากทำเสร็จธุรกิจที่อยู่ในเวียดนามก็จะมีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น แต่ก็ต้องใช้เวลา 2-3 ปี ส่วนความคืบหน้าของโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์
ส่วนเรื่อง Reciprocal Tariff ที่ตอนนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะถูกเก็บภาษีนำเข้าอัตราใด สำหรับ SCGC ในภาพรวมนั้นแทบไม่มีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐ ในขณะเดียวกันการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐมาไทยก็มีน้อย และในอนาคตโรงงานที่ประเทศเวียดนามจะนำเข้าอีเทนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีเป็น 0% อยู่แล้ว จึงไม่มีผลกระทบทางตรง จะมีก็แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในทางอ้อมเท่านั้น
เนื่องจากกลุ่มลูกค้าอยู่บนการแข่งขันหากภาษีนำเข้าที่เก็บกับประเทศไทยสูงกว่าประเทศอื่น ก็จะกดความสามารถการแข่งขันของไทยให้ต่ำลง ขณะเดียวกันหากการเจรจามีผลดีต่อประเทศเวียดนามกลุ่มธุรกิจส่วนหนึ่งก็สามารถขายไปที่เวียดนามได้ อย่างไรก็ดีการแข่งขันที่สูงขึ้นรวมถึงปัญหาเรื่องภาษีทำให้ภาคเอกชนกังวลว่าจะเกิดการทะลักของสินค้าที่เหลือดั้มพ์เข้าไทย และทำให้สินค้าไทยแข่งขันไม่ได้ก็ต้องเข้าพบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางช่วยเหลืออุตสาหกรรมไทย
อย่างไรก็ดีในภาวะที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังต้องเผชิญความท้าทาย SCGCได้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โดยชูจุดแข็งสำคัญ อาทิ
- กระบวนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services หรือ HVA) รวมถึงพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้ง ‘ศูนย์นวัตกรรมครบวงจร i2P Center’ โดยมีเครือข่ายนวัตกรรมจากทั่วโลก เพื่อช่วยลูกค้า เจ้าของแบรนด์ หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งพันธมิตรทางธุรกิจ ในการค้นหาไอเดียและเทรนด์ต่าง ๆ การวิจัยและพัฒนา การออกแบบสินค้า การทดสอบขึ้นรูป ฯลฯ ซึ่งช่วยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI และระบบ Robotics & Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับความปลอดภัยในโรงงาน นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยคาดการณ์อนาคตของเครื่องจักรในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับเครื่องจักรและกระบวนการผลิตเฉพาะของแต่ละโรงงาน เช่น ระบบหุ่นยนต์และระบบบอัตโนมัติของโรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC โดยมีสัดส่วนการนำหุ่นยนต์มาใช้ภายในโรงงานระดับ Best in Class ของโลก
- การนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By – product) มาต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น การนำอะเซทิลีนที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ซึ่งเป็นส่วนประกอบนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสาร Phase Change Material ซึ่งนำไปพัฒนาใช้ในโซลูชันด้านการควบคุมอุณหภูมิและประหยัดพลังงานสำหรับธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อาคารสำนักงาน และ data center ภายใต้แบรนด์ ‘CHILLOX’ (ชิลล็อกซ์) เป็นต้น
ที่มาข่าว:
สำนักข่าวไทย










