สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า (EAF) ยันเหล็กเส้นในประเทศมีเพียงพอ หลังตึก สตง. ถล่มดันตลาดบูม เตรียมเพิ่มกำลังผลิตเป็น 280,000 ตันต่อเดือนในไตรมาสที่ 4
นายชัยเฉลิม บุญญานุวัตร นายกสมาคม EAF เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดเหล็กเส้นก่อสร้างของไทยในปัจจุบันว่า ผู้บริโภคให้ความสนใจเรื่องคุณภาพของเหล็กเส้นเพิ่มมากขึ้น สนใจในเหล็ก EAF มากขึ้น ภายหลังจากมีการกวดขันตรวจสอบเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาด และการตรวจสอบโรงงานผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องโดยกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งผลให้มีอาคารหลายแห่งเสียหาย รวมถึงกรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มลงมา
จากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้มีความต้องการเหล็กเส้นจากสมาชิกในสมาคม EAF เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตมีการเร่งปรับเพิ่มปริมาณการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนที่เป็นเตาหลอม EAF ที่ผลิตเหล็กแท่งเพื่อนำไปรีดเป็นเหล็กเส้น EAF และในส่วนของการนำเข้าเหล็กแท่งจากต่างประเทศ ทั้งที่ผลิตด้วยเตา EAF และเตาถลุงเพิ่มขึ้นอย่างมา
โดยข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ปริมาณการผลิตเหล็กเส้นและเหล็กรูปพรรณในช่วงเดือนมกราคม–พฤษภาคม 2568 เพิ่มขึ้นมากกว่า 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 (จาก 292,000 ตันต่อเดือน เป็น 345,000 ตันต่อเดือน) ขณะที่ปริมาณการนำเข้าเหล็กแท่งที่นำมารีดเป็นเหล็กเส้นในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 275,669 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 100,474 ตันในปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 174%
ที่ผ่านมาผู้ผลิตได้พยายามตรึงราคาเอาไว้ และมีการกำกับควบคุมภายใต้การดูแลของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ แม้ว่าผู้ผลิตจากเตา EAF ส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูง ไม่ว่าจะการผลิต การควบคุมคุณภาพ การดูแลสิ่งแวดล้อม และประเด็นของแรงงาน การปรับราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ในส่วนของกำลังการผลิต สมาคม EAF ได้ขอความร่วมมือสมาชิกให้เร่งผลิตเหล็กเส้นทั้งชนิด T และ Non-T เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ผลิตที่ใช้เตาอาร์คไฟฟ้า คาดว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 45% หรือประมาณ 60,000 ตันต่อเดือน เมื่อเทียบกับต้นไตรมาสที่ 2 ส่งผลให้สามารถป้อนเหล็กเส้นเข้าสู่ตลาดได้ราว 200,000 ตันต่อเดือน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 280,000 ตันต่อเดือนในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
ปัจจุบันโรงงานสมาชิกหลายแห่งที่เคยหยุดผลิตได้ทยอยกลับมาเดินสายการผลิตแล้ว ซึ่งสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และชดเชยปริมาณที่ขาดหายไปได้
ที่มาข่าว:
ฐานเศรษฐกิจ









