นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เตือนภาครัฐให้เตรียมรับมือแรงกระแทกจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง หากการเจรจาลดภาษีนำเข้าจาก 36% ไม่สำเร็จภายในเวลาอันใกล้
เขาชี้ว่าอัตราภาษีของไทยและอินโดนีเซียยังไม่ใช่ตัวเลขกลมเหมือนบางประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ (20%) หรือญี่ปุ่น (25%) ซึ่งอาจตีความได้ว่าสหรัฐฯ ยังเปิดช่องเจรจาต่อ แต่หากไม่สามารถลดภาษีได้ ไทยจะเสียความสามารถในการแข่งขันทันที โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนกว่า 60% ของ GDP
ข้อมูลชี้ว่า มาตรการภาษีใหม่นี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐบาลทรัมป์ถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งลดโอกาสที่ภาษีจะถูกยกเลิกหรือปรับลด ขณะเดียวกันก็ยังส่งสัญญาณว่าทรัมป์ติดตามผลตอบรับจากตลาดทุนสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยการเลื่อนเก็บภาษีล่าสุดเกิดขึ้นหลังตลาดหุ้นดาวโจนส์ร่วงลงแรง
ด้าน บลน.ฟินโนมีนา มองว่ารัฐบาลทรัมป์ต้องการเงินภาษีเพื่อทดแทนรายจ่ายจากกฎหมาย “One Big Beautiful Bill” ที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ทำให้แรงกดดันทางการเงินสูง และโอกาสยกเลิกภาษีน้อยมาก
นายกอบศักดิ์ แบ่งผลกระทบจากภาษีออกเป็น 4 คลื่น ได้แก่
1. ตลาดทุนผันผวน
2. ภาคการผลิตเริ่มสะเทือนจากต้นทุน
3. ฐานการผลิตอาจย้ายออก
4. โลกทยอยลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ส่งผลต่อทุนไหลออก
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากภาคอุตสาหกรรมล้าหลัง เช่น ปิโตรเคมี และไม่มีเมกะเทรนด์ใหม่มาหนุน ซึ่งต่างจากจีนที่เดินหน้าอุตสาหกรรมสีเขียวและเทคโนโลยีเต็มตัว
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร จากบล.ทิสโก้ มองว่าแม้ตลาดหุ้นไทยจะอ่อนแรง แต่ยังมีโอกาสหากภาครัฐรักษาโมเมนตัมของการเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นปันผลสูง SETHD ที่เริ่มกลับมาโดดเด่น นักลงทุนต่างชาติยังไม่หมดศรัทธาในตลาดไทย หากได้รับการส่งสัญญาณเชิงบวกจากภาครัฐ
มุมมองในภาคอุตสาหกรรมของทาง MM Thailand
นโยบายภาษีทรัมป์กลายเป็นตัวเร่งให้ไทยต้องเร่งรีบกำหนดยุทธศาสตร์ทางอุตสาหกรรมใหม่ หากยังคงพึ่งส่งออกแบบเดิมโดยไม่มีนวัตกรรมหรือลดต้นทุนด้วยเทคโนโลยี จะยิ่งเสียเปรียบต่อประเทศคู่แข่งที่เจรจาได้ภาษีต่ำกว่า ไทยควรเดินหน้าอุตสาหกรรมอนาคต เช่น AI, EV และพลังงานสะอาด พร้อมปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้ทันกับภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
ที่มาข่าว : สำนักข่าวอินโฟเควสท์











