ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศจุดยืนชัดเจนอีกครั้งในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยย้ำว่าจะไม่พับแผนขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น แม้จะเจอแรงต่อต้านจากโตเกียว พร้อมเผยว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมส่งจดหมายฝ่ายเดียวถึงญี่ปุ่นเพื่อแจ้งอัตราภาษีใหม่นี้ในเร็วๆ นี้
แผนของทรัมป์คือ การปรับภาษีนำเข้ารถยนต์จาก 2.5% ขึ้นเป็น 25% ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้การเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศหยุดชะงัก โดยเฉพาะในช่วงที่ข้อตกลงชั่วคราว 90 วัน ซึ่งสหรัฐฯ ชะลอการเก็บภาษี จะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้
“ผมสามารถส่งจดหมายไปหาญี่ปุ่นได้เลย บอกให้รู้ว่ารถยนต์ของพวกเขาจะต้องจ่ายภาษี 25%… เรารับรถจากญี่ปุ่นนับล้านคัน แต่เขาไม่รับรถของเราเลย นี่มันไม่แฟร์” ทรัมป์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา พร้อมแนะนำว่าญี่ปุ่นควรซื้อน้ำมันและสินค้าอื่นจากสหรัฐฯ เพื่อสมดุลการค้า
ขณะเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังเดินเกมทางการทูต โดยเรียวเซ อากาซาวะ หัวหน้าคณะผู้เจรจาภาษี ได้เดินทางมายังกรุงวอชิงตันเพื่อเข้าร่วมการหารือรอบใหม่ แต่ยังไม่สามารถนัดพบกับรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้
✦ มุมมองในภาคอุตสาหกรรมของทาง MM Thailand
การที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นสูงถึง 25% ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สองประเทศยักษ์ใหญ่นี้เท่านั้น แต่ยังสะเทือนถึงห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกรวมถึงไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลกให้กับญี่ปุ่น
หากญี่ปุ่นต้องรับต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้น อาจต้องลดต้นทุนการผลิตจากซัพพลายเออร์ ซึ่งไทยก็อาจถูกกดราคา หรือถูกปรับแผนจัดซื้อ ขณะเดียวกันบริษัทญี่ปุ่นอาจย้ายสายการผลิตบางส่วนจากญี่ปุ่นมายังประเทศในอาเซียนเพื่อลดผลกระทบ ซึ่งอาจกลายเป็นโอกาสของไทยในการดึงการลงทุนระลอกใหม่
นอกจากนี้ สถานการณ์ยังอาจเร่งให้ไทยต้องพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ระดับสูง เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB), ระบบ ADAS, และโครงสร้างแบตเตอรี่ EV ให้ทันเทรนด์โลก เพื่อคงบทบาทในห่วงโซ่โลกที่เริ่มไม่มั่นคง
ที่มาข่าว:
สำนักข่าวอินโฟเควสท์










