VEGA Instrument
SIEMENS WinCC
อาคารโดมมธ.

นักวิชาการเตือนอย่าลดภาษี 0% แนะเพิ่มนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เชื่อภาษี 25-28% สู้ไหว

Date Post
10.07.2025
Post Views

นักวิชาการธรรมศาสตร์ แนะจัดทำข้อเสนอเจรจาภาษีคลั่งโดนัลด์ ทรัมป์ไม่จำเป็นต้องลดภาษีนำเข้า 0% แบบเวียดนาม แต่ให้เพิ่มปริมาณสินค้าที่จะสั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกาแทน โดยเชื่อหากสามารถเจรจาภาษีเหลือ 25-28% ยังพอแข่งขันได้ แต่ไม่ว่าผลการเจรจาออกมาเป็นผลบวกหรือผลลบรัฐบาลต้องเร่งหามาตรการเยียวยาผู้รับผลกระทบ วางแผนหาตลาดใหม่ทดแทน และปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศ

0% ไม่ใช่คำตอบ เจรจาภาษีสหรัฐฯ ต้องยื่นข้อเสนอเพิ่มพร้อมกระจายความเสี่ยงไปยังภูมิภาคอื่น

จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา (ICDS) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า “การที่สหรัฐอเมริกาประกาศแจ้งอัตราภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บจากสินค้าไทยอยู่ที่ 36% สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน มากกว่าเวียดนาม และมาเลเซีย นั้น มีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐอเมริกา ยังไม่ได้รับข้อเสนอเพิ่มเติมที่ไทยเพิ่งส่งไปเมื่อวันที่ 6 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ส่วนตัวเชื่อว่าหากสหรัฐอเมริกาเห็นข้อเสนอดังกล่าวอาจพิจารณาปรับลดภาษีนำเข้าลงมา เพราะข้อเสนอเหล่านั้นให้สิทธิประโยชน์แก่สหรัฐอเมริกามากกว่าครั้งแรกค่อนข้างมาก เช่น การเสนอเก็บภาษี 0% ในสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกากว่าพันรายการรวมถึงสินค้าเกษตร และมีการให้กรอบเวลาลดการเกินดุลการค้าที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์และประเมินข้อมูลการค้าและการลงทุนเชิงลึก และสภาวะความไม่แน่นอนของนโยบายและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แล้ว ส่วนตัวคิดว่าอัตราภาษีที่จะทำให้ไทยยังคงรักษาระดับการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนาม และมาเลเซียได้ จะอยู่ที่ 25-28% ซึ่งถือเป็นจุดที่เหมาะสมและยอมรับได้”

อาจารย์จุฑาทิพย์เสนอข้อคิดเห็นว่า “จนกว่าจะถึงวันที่ 1 ส.ค.68 ซึ่งเป็นวันที่การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ยังพอมีระยะเวลาในการเจรจาต่อรอง โดยหากสหรัฐอเมริกาได้พิจารณาข้อเสนอที่ส่งไปเพิ่มเติมแล้วแต่ยังคงอัตราภาษีนำเข้าไว้ตามเดิมหรือลดลงแต่ยังมากกว่า 25-28% ส่วนตัวเห็นว่า ไทยคงต้องยื่นข้อเสนอเพิ่มมากขึ้นแต่ไม่ควรใช้วิธีการปรับลดกำแพงภาษีนำเข้าของไทยให้สหรัฐอเมริกาเหลือเพียง 0% ทุกรายการสินค้าแบบที่เวียดนามทำ หากเปรียบเทียบการลดภาษีเหลือ 0% ทุกรายการระหว่างไทยกับเวียดนาม จะพบว่าเวียดนามจะได้รับผกระทบน้อยกว่าไทย เนื่องจากเวียดนามมีประสบการณ์เปิดการค้าเสรีให้สหภาพยุโรป (EU) และประเทศอื่น ๆ มาแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าเกษตร ขณะที่ไทยยังมีการใช้นโยบายภาษี และมิใช่ภาษีค่อนข้างเข้มข้น จึงเกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยที่จะปรับตัวไม่ทัน ดังนั้นจึงเสนอว่า ไทยควรใช้วิธีการเสนอเพิ่มจำนวนปริมาณสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นการทดแทนให้มากขึ้น เช่น การเพิ่มปริมาณนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ ก๊าซธรรมชาติ หรือการจัดซื้อเครื่องบิน เป็นต้น

นอกจากนี้ ไม่ว่าผลการพิจารณาปรับลดภาษีของสหรัฐฯ จะเป็นไปอย่างที่ต้องการหรือไม่ รัฐบาลไทยก็ควรจะต้องเริ่มต้นวางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณ เพื่อเยียวยาคนไทยผู้ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีให้กับสหรัฐฯ เช่นผู้ประกอบการธุรกิจ หรือเกษตรกร และรัฐบาลจะต้องเร่งหาตลาดส่งออกให้มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่พึ่งพาสหรัฐอเมริกามากจนเกินไปแบบที่ผ่านมา เพื่อป้องกันความไม่แน่นอนทางนโยบายซึ่งอาจจะเกิดการกลับไปกลับมาได้อีกเสมอ”

“ตลาดอาเซียน แม้จะมีสินค้าคล้ายกันหลายอย่างทว่าแต่ละที่ก็มีความ ‘พิเศษ’ เป็นของตัวเอง ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันได้ หรือจะเป็นประเทศญี่ปุ่นที่ควรจะเพิ่มอัตราการส่งออกไปมากขึ้นหลังจากที่ลดน้อยลงไปมากก่อนหน้านี้ สำคัญที่สุด คือ การเร่งทำข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ร่วมกับ EU ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปได้มากขึ้น ประการสุดท้าย คือ ควรใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปประเทศ ทั้งเรื่องโครงสร้างการผลิตและการส่งออก โครงสร้างภาษีและไม่ใช่ภาษีอย่างจริงจัง รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสินค้าของผู้ประกอบการไทย” อาจารย์จุฑาทิพย์ กล่าว

แก้ไขปัญหาการลงทุนในประเทศในมิติของนอมินีและการขาดแคลนแรงงาน

ด้านอาชนัน เกาะไพบูลย์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา (ICDS) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “นอกจากเหนือผลการเจรจาและมาตรการเยียวยา ที่รัฐบาลต้องดำเนินการในทันทีแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ประเทศไทยควรใช้จังหวะนี้กลับมาทบทวนและแก้ปมปัญหาภายในประเทศ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมิติการลงทุนจากต่างชาติในไทย เช่น ปัญหาการตกเป็นเหยื่อนอมินีของชาวต่างชาติ เช่น การให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าว หรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เข้าข่ายเป็นนอมินี และมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ส่วนตัวมองว่าปัญหาอาจไม่ใช่แค่เรื่องของนอมินี แต่ต้องหันกลับมาดูว่าการประกอบธุรกิจโดยนักลงทุนต่างชาตินั้น ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด เกิดการจ้างงาน หรือการลงทุนเพิ่มขึ้นหรือไม่ ฯลฯ ตัวอย่างเช่นการเข้ามาของผู้ประกอบการจีนในช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่ต้องพิจารณา คือ ลักษณะการลงทุนของผู้ประกอบการจีนบางส่วนในไทย สร้างผลประโยชน์ให้คนไทยมากน้อยเพียงใด เขากำลังใช้ต้นทุนและความได้เปรียบของตนเอง จนก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทยหรือไม่ หากพิจารณาเฉพาะในส่วนของปัญหานอมินี ก็ต้องดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเพราะความซับซ้อนหรือความไม่ทันสมัยของกฎหมายหรือไม่ เช่น หากต่างชาติอยากจะเข้ามาดำเนินการให้มีความถูกต้อง มันเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือไม่ หรือมีปัจจัยที่เอื้อให้นักลงทุนรู้สึกอยากทำตามกระบวนการที่ถูกต้องหรือไม่

นอกจากนี้ ท่ามกลางปัญหาสังคมสูงวัยในไทย ที่ประเทศขาดแคลนคนวัยแรงงาน การห้ามต่างด้าวประกอบกิจการเด็ดขาดตามบัญชี 1 ใน พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรืออนุญาตแบบมีเงื่อนไข ตามบัญชี 2 และอนุญาตโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ต้องมีผู้ถือหุ้นคนไทยมากกว่าต่างด้าว ตามบัญชี 3 กฎหมายดังกล่าว ควรจะต้องมีการกลับมาทบทวนและปรับปรุงกันใหม่หรือไม่ หรืออาจจะต้องปลดล็อคในบางธุรกิจให้ต่างชาติทำได้มากขึ้น แต่ต้องควบคุม ตรวจสอบ โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้ธุรกิจเหล่านั้นเกิดการลงทุน หรือจ้างงานคนไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และแก้ปัญหานอมินีได้ในระยะยาว”

ที่มาข่าว:
infoquest

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire