VEGA Instrument
IDA Project
raw milk thailand market milk powder facts

นมดิบ นมไทยล้นตลาด ทำเกษตรกรลำบาก และนมผงอันตราย จริงไหม ?

Date Post
14.11.2025
Post Views

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่าเรื่องนม ๆ ที่มักจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์อยู่เป็นครั้งคราว อย่าง “นมไทยส่วนใหญ่เป็นนมผงไม่ใช่นมแท้” หรือ “เกษตรกรไทยลำบากเพราะนมล้นตลาดจนต้องเททิ้ง” ไปจนถึงการทำความเข้าใจความกลัวของคนบางกลุ่มที่กำหนดนิยาม ‘นมแท้’ และ ‘นมปลอม’ ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกรองไว้กำหนดการบริโภคของตัวเอง 

ก่อนจะพาไปโลดแล่นสู่เรื่องราวที่จะนำไปสู่คำตอบของคำถามก่อนหน้า ภาพรวมของ ‘อุตสาหกรรมนม’ เริ่มต้นขึ้น… 

จากเต้าสู่เตาในโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นม


ณ ฟาร์มแห่งหนึ่งของประเทศไทย ก่อนที่แสงแรกของวันจะเยือน เกษตรกรกลุ่มหนึ่งกำลังรวบรวมผลผลิต ‘น้ำนมโคดิบ’ จากแม่สีนวล (โคนม) ที่พวกเขาเลี้ยงไว้กันอย่างขะมักเขม้น กลุ่มแรกรีด กลุ่มสองกรอง กลุ่มสามเก็บ กระบวนการที่รีบเร่งทั้งหมดนี้เดิมพันด้วยคุณภาพของนม เมื่อ ‘คุณภาพลดลง’ รายได้ที่นำมาหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในฟาร์มอาจลดลงตามลงไป 

แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องเบา ๆ สะท้อนเข้ากับถังอลูมิเนียมที่เหล่านมดิบถูกเก็บรักษาไว้ บางถังเป็นอลูมิเนียม บางถังเป็นสเตนเลส ขึ้นอยู่กับความพึงใจของนายฟาร์ม  ถูกหยิบยกขึ้นรถจากสหกรณ์โคนมจนหมดไม่มีเหลือ 


บทบรรยายก่อนหน้านี้ที่ทุกคนได้อ่านมา คือ ช่วงต้นน้ำ (Upstream) ของอุตสาหกรรมนมโคที่ทุกอย่างเริ่มขึ้นจากฟาร์มไปจนถึงสหกรณ์ แต่… ทำไมต้องเป็นสหกรณ์ เกษตรกรขายนมเองให้กับโรงงานแปรรูปนมโดยตรงไม่ได้หรือ ? คำตอบ คือ ได้ครับ แต่เพราะอะไรล่ะ ?

ทำไมเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ขายนมเองแต่เลือกขายให้สหกรณ์ ?

โครงสร้างการผลิตน้ำนมดิบของไทยผูกพันกับระบบสหกรณ์อย่างลึกซึ้งมานานมาก เพราะสหกรณ์ คือ ศูนย์กลางที่ทำให้ฟาร์มรายย่อยสามารถยืนอยู่ในอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นคง ตั้งแต่น้ำนมหยดแรกที่ถูกรีดออกมาในยามฟ้าสาง น้ำนมดิบต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการรวบรวมภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

การมีสหกรณ์ที่ส่งรถเข้ามารับทุกวันโดยไม่เคยขาด กลายเป็นเส้นทางที่เกษตรกรแทบทุกรายเลือกใช้ ความแน่นอนเช่นนี้ คือ สิ่งที่ตลาดทั่วไปไม่สามารถให้ได้ เพราะตลาดนมไทยส่วนใหญ่ต้องการมาตรฐานที่สม่ำเสมอและไม่เปิดรับการขายตรงจากฟาร์มรายเดี่ยวง่ายนัก

นอกจากความมั่นคงในการรับซื้อ สหกรณ์ยังเป็นผู้ดูแลคุณภาพน้ำนมตั้งแต่จุดรับ จัดการขนส่ง ตรวจเปอร์เซ็นต์ไขมันและโปรตีน ไปจนถึงควบคุมอุณหภูมิระหว่างการรวบรวม ซึ่งเป็นงานที่ฟาร์มรายย่อยทำเองได้ยาก การที่สหกรณ์จัดการทุกขั้นตอนทำให้ ‘เกษตรกรสามารถโฟกัสไปที่การเลี้ยงวัวและดูแลฟาร์มได้เต็มที่ โดยไม่ต้องแบกรับภาระด้านเทคนิคและต้นทุนที่สูงเกินกำลังของฟาร์มเล็ก’

ด้านราคา สหกรณ์ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจรจากับโรงงานแปรรูปและตลาดปลายทางท่ามกลางระบบราคาที่อ้างอิงจาก Milk Board ซึ่งกำหนดเป็น ‘ราคากลาง’ ของประเทศ การรวมปริมาณจากหลายฟาร์มเข้าด้วยกันทำให้สหกรณ์มีอำนาจต่อรองที่เข้มแข็งกว่าเกษตรกรรายเดี่ยว 

นอกจากนี้ ยังสามารถให้สวัสดิการเพิ่มเติม เช่น เงินปรับตามคุณภาพน้ำนม หรือปันผลเมื่อสิ้นปี สิ่งเหล่านี้ทำให้รายได้ของเกษตรกรมีความสม่ำเสมอและมีหลักประกันมากขึ้น

สหกรณ์อาจไม่ใช่เพียงสถานที่รับซื้อน้ำนม แต่เป็นสถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของเกษตรกรรายย่อย ทั้งในมิติการตลาด คุณภาพสินค้า ราคา และสวัสดิการ ผล คือ ..


‘เกษตรกรจำนวนมากยังคงเลือกส่งน้ำนมดิบผ่านสหกรณ์ และให้สหกรณ์เป็นผู้ส่งนมไปยังบริษัทแปรรูปผลิตภัณฑ์จากนม เพราะมันคือทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการอยู่รอดในระบบที่ซับซ้อนและแข่งขันสูงเช่นอุตสาหกรรมนมไทย’


เกษตรกรไทยลำบากเพราะนมล้นตลาดจนต้องเททิ้ง

เมื่อมองผิวเผิน หลายคนอาจคิดว่าสถานการณ์นมล้นตลาด คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกษตรกรโคนมไทยต้องเผชิญความลำบาก บ้างเชื่อว่าการผลิตที่มากเกินความต้องการ ทำให้ระบบรวบรวมรับมือไม่ไหวจนต้องเทนมทิ้ง 

ปริมาณการผลิตน้ำนมดิบและการเปลี่ยนแปลงต่อปี

แต่เมื่อพิจารณาตัวเลขตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ภาพที่ปรากฏกลับแตกต่างจากความเข้าใจทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เพราะปริมาณการผลิตน้ำนมดิบของไทยไม่ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ได้อยู่ในระดับเกินความต้องการภายในประเทศเลย 

ปริมาณผลผลิตน้ำนมดิบเทียบราคา

แต่พบว่าผลผลิตจริงกลับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง ขณะที่ ‘ราคาที่เกษตรกรได้รับกลับเพิ่มขึ้น’ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐที่เพิ่มราคารับซื้อนมดิบ เพื่อพยุงเกษตรกรไม่ให้ออกสู่ระบบมากกว่าเดิม เพราะความต้องการบริโภคนมในประเทศยังสูงอย่างสม่ำเสมอ

จากวิกฤตที่ ‘อุตสาหกรรมโคนม’ ต้องเจอตั้งแต่ปี 2562 และทวีความรุนแรงมากขึ้นในปี 2564-2567 อันมีสาเหตุเบื้องต้นมาจากโรคระบาด หรือต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ Milk Board จะพยายามให้ราคารับซื้อที่สูง เพื่อไม่ให้ผลผลิตน้ำนมดิบตกลงจนเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา


‘ความลำบากของเกษตรกรจึงอาจไม่ได้เกิดเพราะผลิตมากเกินไป เกิดจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ผลผลิตลดลง และระบบรวบรวมที่บางช่วงเกิดคอขวด จนทำให้เกิดภาพ ‘เททิ้ง’ ซึ่งสะท้อนปัญหาการจัดการ มากกว่าปัญหาการผลิตล้น’


ความเข้าใจผิดที่ว่านมล้นตลาดมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพรถรับนมเข้าคิวกันยาว หรือกรณีโรงงานหยุดรับนมบางวันแล้วปรากฏข้อมูลการเทนมดิบในบางพื้นที่ ความจริงแล้วนี่เป็นเหตุการณ์เฉพาะช่วง ไม่ใช่สภาพของตลาดโดยรวม และไม่ได้บ่งบอกว่าประเทศผลิตมากเกินไป

ปัจจัยส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดการเททิ้งคืออะไร ?

ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ‘ข้อจำกัดด้านเวลา’ ของน้ำนมดิบเอง น้ำนมที่รีดออกมาจากฟาร์มต้องถูกเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม และถูกส่งต่อเข้าสู่โรงงานแปรรูปภายในกรอบเวลาที่เข้มงวดและจำกัดมาก 

หากกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งในห่วงโซ่นี้ล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นรถรับนมมาช้ากว่ากำหนด การขนส่งติดขัด หรือโรงงานยังไม่พร้อมรับนมเข้าระบบ น้ำนมดิบที่รออยู่ก็จะเริ่มสูญเสียคุณภาพและไม่สามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐาน เมื่อเลยเวลาที่กำหนดไปแล้ว 

อีกปัจจัยที่นำไปสู่การเทนม คือ ‘สารปนเปื้อน’ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะที่ตกค้างในน้ำนมของวัวที่เพิ่งได้รับการรักษาโรค เมื่อวัวอยู่ในช่วงใช้ยา น้ำนมของวัวต้องถูกแยกออกจากน้ำนมปกติ 

หากมีการปะปนเพียงถังเดียว เมื่อรวมเข้ากับน้ำนมจากฟาร์มอื่นและระบบ ‘ตรวจพบสารตกค้าง น้ำนมทั้งคันรถจะไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ทันที’ เพราะโรงงานไม่เสี่ยงนำวัตถุดิบที่มีสารปนเปื้อนไปผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ หรือนมโรงเรียนซึ่งต้องการมาตรฐานสูงสุด 

ผลที่เกิดขึ้นจึงมักเป็นการทำลายน้ำนมชุดนั้นทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาขยายไปสู่สายการผลิตขนาดใหญ่

สุดท้าย คือ การพึ่งพาตลาดนมโรงเรียน ซึ่งเป็นตลาดหลักของสหกรณ์ทั่วประเทศ เมื่อเกิดการหยุดเรียน กระบวนการจัดนมล่าช้า หรือเกิดการเปลี่ยนรอบงบประมาณ ทำให้โรงงานที่ผลิตนมโรงเรียนต้องลดกำลังการผลิตชั่วคราวในช่วงเวลานั้น

ปริมาณน้ำนมดิบที่เคยส่งเข้าสู่ระบบจะไม่มีที่ไปทันที เพราะน้ำนมดิบไม่สามารถรอได้นาน เมื่อสหกรณ์ไม่มีพื้นที่เก็บสำรองและโรงงานไม่สามารถรับได้ จึงเกิดภาพ ‘นมล้น’ ชั่วคราวที่ถูกปะทุออกมาในรูปแบบของการเททิ้ง ทั้งที่ความจริง คือ ระบบชะงัก ไม่ใช่การผลิตมากเกินจริง

อีกด้านหนึ่งที่เป็นปัญหา คือ กำลังการผลิตของโรงงานแปรรูปในบางพื้นที่ที่ไม่สอดรับกับปริมาณรับซื้อของสหกรณ์ โรงงานบางแห่งมีข้อจำกัดด้านไลน์พาสเจอร์ไรส์หรือ UHT ทำให้ไม่สามารถรับน้ำนมในบางช่วงเวลาได้ เช่น ช่วงเครื่องจักรบำรุงรักษา หรือช่วงที่ต้องเร่งผลิตสินค้าอย่างอื่นจนทำให้ไลน์สำหรับนมดิบขาดช่วง 

นมดิบมาสหกรณ์แล้วไปไหนต่อ?

เมื่อสหกรณ์รวบรวมน้ำนมดิบจากฟาร์มเรียบร้อย กระบวนการต่อจากนั้นไม่ได้จบลงที่ถังรับนม แต่เป็นการเริ่มต้นของเส้นทางใหม่ที่จะพาน้ำนมดิบเข้าสู่การแปรรูปใน 2 ตลาดหลักที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนมไทยอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ ‘ตลาดนมโรงเรียน’ และ ‘ตลาดพาณิชย์’ 

ซึ่งต่างมีบทบาทและความต้องการที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของผู้บริโภคและกฎเกณฑ์ของแต่ละระบบปลายทาง ที่สำคัญที่สุด คือ โรงงานผลิตนมโรงเรียน 

ซึ่งเป็นตลาดรัฐที่ใช้วัตถุดิบน้ำนมดิบจำนวนมหาศาลทุกวัน เพราะต้องผลิตนมในปริมาณคงที่ตามโควตาที่กำหนดไว้ในแต่ละพื้นที่ สหกรณ์จำนวนมากทั่วประเทศพึ่งพาตลาดนี้ในสัดส่วนสูง เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความแน่นอนด้านปริมาณ รับซื้อต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณภาครัฐ

น้ำนมของสหกรณ์จึงถูกส่งเข้าโรงงานแปรรูปในแต่ละเขตเพื่อผลิตเป็นนม UHT หรือนมพาสเจอร์ไรส์สำหรับนักเรียนตามโครงการโภชนาการของรัฐ

อีกเส้นทางหนึ่ง คือ การส่งน้ำนมดิบไปยังโรงงานแปรรูปเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ของผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรม เช่น Dutch Mill, Foremost, Meiji และผู้ผลิตระดับท้องถิ่นที่มีโรงงานแปรรูปของตัวเอง

โรงงานเหล่านี้นำวัตถุดิบจากสหกรณ์ไปผลิตเป็นนมพร้อมดื่ม นมเปรี้ยว โยเกิร์ต หรือสินค้าแปรรูปอื่น ๆ ที่วางขายในร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ ตลาดนี้มีการแข่งขันสูงกว่าและมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย แต่สหกรณ์ส่วนใหญ่ก็ยังส่งให้ในสัดส่วนหนึ่งตามสัญญาและตามกำลังผลิตของโรงงานในพื้นที่

สำหรับบางสหกรณ์ที่มีโรงงานเล็กของตัวเอง ส่วนน้ำนมดิบจะถูกนำไปพาสเจอร์ไรส์หรือแปรรูปในระดับท้องถิ่นเพื่อจำหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรง แต่สัดส่วนนี้ไม่มากเมื่อเทียบกับการส่งให้โรงงานใหญ่ที่รับซื้อเป็นประจำ

น้ำนมดิบของไทยจึงเดินไปตาม 2 เส้นทางหลักนี้เป็นส่วนใหญ่ และทั้งหมดต้องอาศัยระบบเวลาที่แม่นยำ การตรวจคุณภาพที่เข้มงวด และการรักษาอุณหภูมิอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ปลายทางได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

‘นมผง’ ไม่เท่ากับ ‘นมแท้’ จริงไหม ?

การจะตอบคำถามที่ว่า ‘นมผงไม่ใช่นมแท้ใช่ไหม ? ’ เป็นความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในสังคมไทย ทั้งที่ในความเป็นจริง นมผง คือ ‘น้ำนมวัวแท้ที่ผ่านกระบวนการทำให้แห้งเพื่อให้เก็บได้นานขึ้น’

ไม่ได้เป็นผงสังเคราะห์หรือสิ่งที่ไม่มีความเป็นนมอยู่เลยแม้แต่น้อย น้ำนมดิบที่ได้ถูกนำเข้าสู่โรงงานด้วยขั้นตอนพื้นฐานเช่นเดียวกับนมสดทุกชนิด เพียงแต่หลังจากผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์แล้ว โรงงานจะพาน้ำนมไปสู่ขั้นตอนการระเหยน้ำออกด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า สเปรย์ดราย (Spray Dry) ซึ่งทำให้นมกลายเป็นผง โดยไม่ทำลายคุณค่าทางโภชนาการหลัก

กระบวนการนี้เริ่มจากการทำให้น้ำนมเข้มข้น ด้วยการระเหยน้ำออกภายใต้ความร้อนที่ควบคุมอย่างแม่นยำ จากนั้นน้ำนมเข้มข้นจะถูกพ่นละอองเป็นหยดเล็ก ๆ ลงในห้องที่มีลมร้อนหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ทำให้หยดนมแห้งกลายเป็นผงทันทีในเวลาไม่กี่วินาที 

วิธีนี้ช่วยรักษาสารอาหารอย่างโปรตีน แลคโตส ไขมัน และแร่ธาตุไว้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ยืดอายุการเก็บรักษาให้สามารถอยู่ได้นานหลายเดือน โดยไม่ต้องแช่เย็น เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว สิ่งที่ได้ คือ ผงสีขาวที่มาจากน้ำนมวัวแท้ เพียงแต่ถูกแปรสภาพให้อยู่ในรูปที่เก็บง่ายและขนส่งสะดวกกว่าเดิม

*กระบวนการแปรรูปสินค้าที่มาจากนมอาจมีวิตามินบางตัวที่ไวต่อความร้อนสูญเสียไประหว่างกระบวนการ ทำให้บางผลิตภัณฑ์อาจมีการเพิ่มเติมวิตามินที่ไวต่อความร้อนพวกนี้เพิ่มเข้าไปภายหลัง

นมผงจึงไม่ได้ “ปลอม” หรือ “ไม่แท้” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากวิทยาศาสตร์การอาหารซึ่งออกแบบมาให้ตอบโจทย์ความปลอดภัยและการกระจายสินค้าในระบบอุตสาหกรรมทั่วโลกโรงงานในหลายประเทศ รวมถึงไทย ใช้นมผงเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์นมต่าง ๆ 

โดยเฉพาะนม UHT และผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ต้องการความเสถียรในการผลิต นมผงจึงเป็นเพียง ‘อีกรูปแบบหนึ่งของนมวัวแท้’ ไม่ใช่สิ่งที่ขัดแย้งกับความหมายของน้ำนมสด หากเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เรามีผลิตภัณฑ์นมที่ปลอดภัย เก็บง่าย และเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ตลอดทั้งปี

ทำไมยังมีคนบางกลุ่มกลัวนมที่มาจากนมผงในประเทศไทย ?

แม้ว่านมผงจะเป็นเพียงน้ำนมวัวแท้ที่ถูกดึงน้ำออกเพื่อให้เก็บได้นานขึ้น แต่ในสังคมไทยก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกระแวงเมื่อนมพร้อมดื่มหรือผลิตภัณฑ์บางชนิดระบุว่า ‘มีส่วนผสมจากนมผง’ 

ความกังวลนี้เป็นส่วนผสมระหว่างความเชื่อเดิมอย่าง ‘ภาพลักษณ์ทางการตลาด’ และความคาดหวังต่อคำว่า ‘นมสด’ ในมุมมองผู้บริโภคไทยที่สั่งสมมานานหลายสิบปี

‘นมสดจะยังสดอยู่ไหม หากอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิมที่เคยเป็น’

ในความรู้สึกของผู้บริโภคส่วนหนึ่ง นมผงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ ‘ผ่านกระบวนการเยอะกว่า’ หรือความกังวลว่านมผงอาจเข้าข่าย Ultra Process Food (UPF) ที่อันตรายและขัดกับแนวทางชีวิตที่ยั่งยืนอย่าง Longevity 

จึงทำให้รู้สึกว่าธรรมชาติของ ‘นม’ ถูกลดทอนลง ทั้งที่ในทางโภชนาการ โปรตีน แร่ธาตุ และสารอาหารหลักยังอยู่ครบเกือบทั้งหมด 

ความรู้สึกนี้มักเกิดจากการที่ผู้คนคุ้นเคยกับภาพของนมสดที่ ‘ส่งตรงจากฟาร์ม’ มากกว่า และหลายคนเชื่อว่า สิ่งที่ผ่านการทำให้แห้งหรือผ่านความร้อน คือ สิ่งที่แปรรูปมากจนสูญเสียความสดใหม่ แม้ว่าวิทยาศาสตร์ด้านอาหารจะบอกว่าไม่ใช่ก็ตาม 

อีกมิติหนึ่ง คือ เรื่อง การสื่อสารทางการตลาด ที่ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากผูกคำว่า “นมสด 100%” เข้ากับความรู้สึกว่าดีกว่า น่าเชื่อถือกว่า หรือมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า ทั้งที่ผลิตภัณฑ์นมหลายชนิดทั่วโลก รวมถึงประเทศที่อุตสาหกรรมนมแข็งแรงอย่างนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย หรือยุโรป ประเทศเหล่านี้เองก็ใช้กระบวนการจากนมผงในบางผลิตภัณฑ์เพราะเก็บง่าย ขนส่งสะดวก และควบคุมคุณภาพได้เสถียรกว่า ความเข้าใจคลาดเคลื่อนนี้จึงไม่ได้เกิดจากข้อมูลผิดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากภาพจำในสังคมและการเปรียบเทียบสินค้าในตลาดที่ใช้คำว่า ‘สด’ เป็นจุดขายจนทำให้ผู้บริโภคมองว่า ‘นมผงเป็นของด้อยกว่านมสดโดยอัตโนมัติ’

อีกเหตุผลที่ทำให้บางคนกังวล คือ ‘ความไม่มั่นใจในกระบวนการผลิต’ โดยเฉพาะในช่วงที่สังคมให้ความสนใจกับเรื่องสารเติมแต่ง ความปลอดภัยของอาหาร หรือความโปร่งใสในอุตสาหกรรมบางประเภท ทำให้บางคนรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ที่มาจากนมผงมีโอกาสถูกเติมอะไรบางอย่างเข้าไปมากกว่านมสด 

ทั้งที่ในความเป็นจริง โรงงานผลิตนมผงและผลิตภัณฑ์นมต้องผ่าน ‘มาตรฐานที่เข้มงวดระดับสากล’ และกระบวนการทำให้เป็นผงไม่จำเป็นต้องใส่สารเพิ่มความข้นหรือสารกันเสียใด ๆ เลย แต่ความกังวลเหล่านี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ 

เพราะความกลัวเกี่ยวกับนมผงไม่ได้สะท้อนว่านมผงไม่ดี หากสะท้อนว่า ‘ผู้บริโภคต้องการความชัดเจน โปร่งใส และความรู้สึกปลอดภัย’ เมื่อนำมาบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มที่ดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง เช่น คนออกกำลังกาย คนลดน้ำหนัก หรือผู้ปกครองที่ต้องเลือกอาหารให้เด็ก ความรู้สึกระแวงจึงเป็นเรื่องปกติและเข้าใจได้ 

ไม่ใช่สิ่งผิดหรือไม่สมเหตุสมผล แต่เป็นสิ่งที่ควรถูกอธิบายด้วยข้อมูลที่ตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช่ภาพจำในอดีตหรือความกลัวที่ส่งต่อกันมา


จากผู้เขียน

การวิเคราะห์เชิงตัวเลขทั้งหมดในบทความนี้จัดทำขึ้นจากชุดข้อมูลที่ผมสามารถรวบรวมได้ในช่วงเวลาอันสั้น โดยอ้างอิงจากสถิติของกรมปศุสัตว์และเอกสารทางการที่เกี่ยวข้องมากที่สุดเท่าที่หาได้ 

ผมได้พยายามตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดข้อมูล การประมวลผล หรือการประเมินผล และการสร้างกราฟ Time-Series แต่ก็ ‘อาจมีโอกาสเกิดความคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดระหว่างการวิเคราะห์ได้’ ข้อมูลและข้อสรุปในบทความนี้จึงสะท้อนมุมมองของผู้เขียนเพียงผู้เดียว

ผู้อ่านที่ต้องการนำไปใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการหรือวิจัยในระดับลึก ขอแนะนำให้ตรวจสอบและเปรียบเทียบกับข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความครบถ้วนและความถูกต้องของข้อมูล

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนท้าย หากพบข้อผิดพลาด ข้อสังเกต หรือมีข้อเสนอแนะใด ๆ ที่สามารถช่วยให้บทความฉบับนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผมและทีมงาน MM Thailand พร้อมรับฟังและปรับปรุงด้วยความยินดีเสมอ


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
ลงทะเบียนร่วมงาน Automation Expo