VEGA Instrument
SIEMENS WinCC
semiconductor war global chip power

เจาะลึกสงครามเซมิคอนดักเตอร์ ใครคุมชิปเท่ากับคุมอนาคตโลก

Date Post
09.10.2025
Post Views

‘อุปกรณ์สี่เหลี่ยมสีดำ’ หัวใจของอนาคตโลก

          ในโลกยุคปัจจุบัน การครอบครองชิปอาจมีพลังอำนาจที่ทรงอิทธิพลมากกว่าการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เสียอีก นั่นเป็นเพราะเทคโนโลยีของเซมิคอนดักเตอร์ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของทุกสิ่ง อุปกรณ์สี่เหลี่ยมสีดำขนาดเล็กนี้ซ่อนตัวอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เราใช้กันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า, เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบควบคุมการจราจรบนท้องถนน ล้วนมีหัวใจสำคัญที่เรียกว่าเซมิคอนดักเตอร์ซ่อนอยู่ภายใน เซมิคอนดักเตอร์คือวัสดุกึ่งนำไฟฟ้าที่ถูกนำมาสร้างเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดจิ๋ว หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘ชิป’ นั่นเอง

          หลักการทำงานของชิปมีความซับซ้อนแต่ก็มีประสิทธิภาพอย่างมาก โดยมันทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้กลายเป็นคำสั่งที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ การทำงานนี้สามารถเชื่อมโยงได้อย่างง่ายดายเหมือนเส้นประสาทที่เชื่อมโยงจากสมองเข้ากับอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ชิปมีหลายประเภท เช่น ชิปประมวลผลซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองของอุปกรณ์, หน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูลทั้งชั่วคราวและถาวร, รวมถึงเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้อุปกรณ์รับรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ ด้วยองค์ประกอบและบทบาทสำคัญเหล่านี้เอง ทำให้เซมิคอนดักเตอร์จึงเป็นมากกว่าแค่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นอนาคตของเศรษฐกิจโลก ในยุคปัจจุบัน

พลวัตและมูลค่ามหาศาลของตลาดเซมิคอนดักเตอร์

          สงครามการค้าระหว่างขั้วมหาอำนาจในขณะนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจทางเศรษฐกิจที่จะกำหนดทิศทางของโลกในทศวรรษนี้ หากฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ตั้งอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นย่อมได้เปรียบและสามารถควบคุมอำนาจในการต่อรองได้อย่างง่ายดาย ทำให้อุตสาหกรรมนี้กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยมูลค่าที่มหาศาล 

ตามรายงานของ Gartner เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2565 ระบุว่า รายได้ทั่วโลกจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อยู่ที่ 655 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตขึ้นถึง 21% จากรายได้ 542 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็นที่น่าทึ่งว่าตัวเลขการซื้อขายในอุตสาหกรรมนี้สูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น World Semiconductor Trade ยังได้คาดการณ์มูลค่าตลาดในปี 2025 ไว้ที่ 687 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงขึ้น 8.96% จากตัวเลขในปี 2024

การช่วงชิงอำนาจ ‘ใครคุมชิป = คุมอนาคต’

          ประเทศที่เข้ามาเป็นผู้เล่นหลักและมีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และจีน ประเทศเหล่านี้ต่างเป็นผู้เล่นหลักที่ครอบครองห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการประกอบ 

โดยบริษัทที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ TSMC ซึ่งครอบครองส่วนแบ่งการตลาดรับจ้างผลิตชิปขั้นสูงถึง 67.6% โดยวัดจากรายได้ในตลาด Wafer foundry ทั่วโลกในไตรมาสที่ 1 ปี 2025 เหตุผลที่หลายประเทศพยายามจะก้าวขึ้นมาเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมนี้เป็นเพราะประเทศที่อยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดสามารถกำหนดทิศทางของโลกในศตวรรษที่ 21 ได้ พูดง่าย ๆ คือ ใครที่สามารถควบคุมการผลิตชิปได้ ก็เหมือนมีกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแห่งอนาคตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV), สมาร์ทโฟน, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ทุกสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ล้วนมีสารตั้งต้นเดียวกันคือเซมิคอนดักเตอร์

บทบาทของไทยในห่วงโซ่การผลิต และความท้าทายที่ต้องเผชิญ

          สำหรับประเทศไทยนั้น ต้องยอมรับว่าบทบาทของเราในห่วงโซ่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยังอยู่ในระดับปลายน้ำเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือ เรามีความเชี่ยวชาญในการนำชิปที่ผลิตเสร็จแล้วมาประกอบให้เข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่ยังห่างไกลจากการเป็นผู้ผลิตชิปเองหรือแม้แต่การออกแบบชิป ความฝันในการผลิตชิปด้วยตนเองจึงยังห่างไกลจากความเป็นจริง เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตชิปนั้นมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และต้องใช้เงินทุนมหาศาลอย่างน้อยในหลักหมื่นล้านบาท  นอกจากประเด็นเงินทุนแล้ว ระบบนิเวศในประเทศก็ยังไม่เอื้ออำนวย ทั้งในด้านของการวิจัย การพัฒนา และการสนับสนุนจากภาครัฐที่ยังไม่ชัดเจนและขาดความต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ใหญ่กว่าเรื่องเงินทุนคือการขาดวิสัยทัศน์และความอดทนในการลงทุนในระยะยาว ประกอบกับการขาดความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วนที่จำเป็นในการทำให้เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ   

ปัญหาเหล่านี้ที่หยั่งรากลึกจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่สามารถก้าวเข้าสู่สมรภูมิการผลิตชิปได้ในเร็ววันนี้

Industrial Key Success

          แทนที่จะกระโดดเข้าสู่สมรภูมิการผลิตโดยตรง ประเทศไทยควรเลือกที่จะเน้นทำในสิ่งที่ถนัด นั่นคือการเน้นไปที่การให้บริการในส่วนของการ ทดสอบ (testing), การบรรจุภัณฑ์ (packaging), หรือการออกแบบชิป ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่มูลค่าที่ประเทศไทยมีศักยภาพพอที่จะเริ่มพัฒนาได้ทันที ในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ การลงทุนในทรัพยากรบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ต้องมีการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา 

          ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น TMEC ภายใต้ สวทช. ที่กำลังขับเคลื่อนการพัฒนาไมโครอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาวิศวกรเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีเป้าหมายที่ Ambitious คือการผลิตบุคลากรให้ได้ถึง 80,000 คน ภายใน 5 ปี อีกทั้งยังมี THPCA ที่ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นฐานการผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต

          ท้ายที่สุดแล้ว ทิศทางของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลกจะถูกชี้วัดโดยประเทศที่สามารถคว้าตำแหน่งราชาแห่งอุตสาหกรรมนี้ไปครองได้ และประเทศไทยเองก็มีความหวังที่จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นเหมือนไต้หวันน้อยแห่งเอเชียได้ในอนาคต


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company