เมื่อนึกถึงคำว่า ‘โรงงาน’ หลายคนอาจจินตนาการถึงภาพเครื่องจักรขนาดใหญ่ เสียงดัง และสายพานการผลิตที่เคลื่อนไหวไม่หยุด แต่ในปัจจุบัน ภาพเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด ที่อยู่เบื้องหลังกำแพงโรงงานยุคใหม่ที่เรียกว่า ‘โรงงานอัจฉริยะ’ (Smart Factory) คือโลกที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ ข้อมูล และการเชื่อมต่อที่ซับซ้อน
วันนี้ เราจะพาไปสำรวจเบื้องหลังและเปิดเผย 4 ประเด็น ที่น่าทึ่งที่ได้จากเวที Industrial field processes integrated to IoT and Cybersecurity ภายในงาน METALEX 2025 ที่จะเปลี่ยนความเข้าใจทั่วไปของคุณเกี่ยวกับโลกของเทคโนโลยีในโรงงานอุตสาหกรรม
1. ระบบปิดที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Air-Gap Network) ก็ไม่ปลอดภัย 100%
หลายคนเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องระบบที่สำคัญอย่างยิ่งยวด คือการตัดขาดมันออกจากโลกอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง หรือที่เรียกว่าระบบปิด (Air-gapped) ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว ควรจะทำให้มันปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์ได้ทั้งหมด แต่ในความเป็นจริง ความเชื่อนี้ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
จากกรณีศึกษาที่โด่งดังที่สุดคือไวรัส Stuxnet ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่านโดยเฉพาะ โรงงานแห่งนี้เป็นระบบปิดที่แยกตัวออกจากเครือข่ายภายนอกอย่างสมบูรณ์ แต่ผู้โจมตีกลับใช้วิธีที่เรียบง่ายอย่างคาดไม่ถึง นั่นคือการแพร่ไวรัสผ่าน USB Drive เมื่อมีคนนำ USB ที่ติดไวรัสไปเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ในระบบปิด ไวรัสก็สามารถแฝงตัวเข้าไปควบคุมและทำลายเครื่องจักรได้สำเร็จ
ผลลัพธ์ของมันไม่ใช่แค่ความเสียหายเล็กน้อย แต่คือการทำลายล้างที่ส่งผลสะเทือนในระดับภูมิรัฐศาสตร์ เพราะไวรัสตัวนี้ได้ทำให้โครงการวิจัยนิวเคลียร์ทั้งหมดของประเทศต้องล่าช้าไปนานนับ 10-20 ปี หรืออาจถึงขั้นล้มเหลวไปเลย
เหตุการณ์นี้ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า แม้จะสร้างกำแพงดิจิทัลที่แข็งแกร่งเพียงใด ภัยคุกคามทางกายภาพที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่าง USB Drive ก็สามารถเป็นพาหะนำอันตรายร้ายแรงเข้ามาได้เสมอ
2. ข้อมูล ‘ขยะ’ ของโรงงาน อาจเป็น ‘ขุมทรัพย์’ ของคู่แข่ง
ในโรงงานอัจฉริยะมีการเก็บข้อมูลมหาศาล และข้อมูลบางอย่างอาจดูเหมือนไม่มีความสำคัญ เช่น ปริมาณการใช้ไฟฟ้า, รูปแบบการใช้พลังงาน, หรืออัตราการปล่อยน้ำเสีย แต่ในความเป็นจริง ข้อมูลเหล่านี้คือความลับทางการค้าที่มีมูลค่ามหาศาล
ข้อมูลที่ดูผิวเผินเหล่านี้สามารถถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อ ‘ประเมินศักยภาพการผลิตทั้งหมดของโรงงานได้อย่างแม่นยำ’ สำหรับคนที่มีความเชี่ยวชาญ เขาสามารถคำนวณย้อนกลับได้เลยว่า ถ้าโรงงานผลิตไก่ทิ้งน้ำเสียวันละเท่านี้ จะสามารถผลิตไก่ได้วันละกี่ตัว
นี่คือเหตุผลสำคัญที่โรงงานขนาดใหญ่จำนวนมากมีความกังวลอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ข้อมูลการดำเนินงาน (Operational Technology – OT data) รั่วไหลออกไปยังระบบคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) เพราะหากข้อมูลนี้ตกไปอยู่ในมือคู่แข่ง มันจะสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินขีดความสามารถและโจมตีทางธุรกิจได้อย่างง่ายดาย
3. “Internet of Things” ในโรงงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้เชื่อมต่อ “อินเทอร์เน็ต” จริงๆ
แม้ชื่อจะบอกว่าเป็น “Internet of Things” (IoT) แต่อุปกรณ์เซ็นเซอร์และเครื่องจักรอัจฉริยะส่วนใหญ่ในโรงงานกลับไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสาธารณะที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน
ในบริบทของโรงงานอุตสาหกรรม ระบบ IoT มักจะทำงานอยู่ภายใน “ระบบแลนแบบปิด” (Closed Loop Network) โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือเรื่องความปลอดภัย การทำเช่นนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลการผลิตที่ละเอียดอ่อนรั่วไหลออกไปสู่โลกภายนอก และยังเป็นเกราะป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ที่อาจพยายามเข้ามาควบคุมหรือสั่งปิดสายการผลิตจากระยะไกล
วงการอุตสาหกรรมได้หยิบยืมและ นิยามความหมายใหม่ ให้กับคำว่า ‘IoT’ ในบริบทของตัวเอง โดยเปลี่ยนจุดเน้นจากคำว่า ‘Internet’ มาสู่คำว่า ‘Things’ หรือ ‘สรรพสิ่ง’ แทน เพราะหัวใจของมันคือการเชื่อมต่อสื่อสารกันของอุปกรณ์ ภายใน โรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรวบรวมข้อมูล ไม่ใช่การเปิดประตูสู่โลกอินเทอร์เน็ตภายนอก
4. ทำไมคุณติดตั้งโปรแกรม Antivirus บนเครื่องจักรในโรงงานไม่ได้?
เป็นคำถามที่น่าสนใจว่า ทำไมเราถึงไม่สามารถติดตั้งโปรแกรม Antivirus บนคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมเครื่องจักรในโรงงานได้เหมือนกับคอมพิวเตอร์สำนักงานทั่วไป? คำตอบไม่ได้อยู่ที่ข้อจำกัดทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว
แต่อยู่ที่ ‘ปรัชญา’ และ ‘เป้าหมายหลัก’ ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างโลกของ IT (Information Technology) และ OT (Operational Technology)
โลกของ IT ที่เราคุ้นเคยในสำนักงาน ให้ความสำคัญสูงสุดกับการปกป้อง ‘ข้อมูล (Data)’ แต่ในโลกของ OT ซึ่งควบคุมสายการผลิตในโรงงาน ให้ความสำคัญสูงสุดกับการทำงานต่อเนื่องและความปลอดภัยของ ‘กระบวนการทางกายภาพ (Physical Process)’
“การหยุดระบบ IT เพื่ออัปเดตความปลอดภัยในช่วงสุดสัปดาห์เป็นเรื่องยอมรับได้ แต่การหยุดสายการผลิตในโรงงานแม้เพียงชั่วครู่อาจหมายถึงความเสียหายมูลค่ามหาศาล”
ความขัดแย้งเชิงปรัชญานี้สะท้อนออกมาในข้อจำกัดที่เป็นรูปธรรมดังนี้
- อายุการใช้งาน – อุปกรณ์ IT อย่างคอมพิวเตอร์มีวงจรอายุ 3-5 ปี แต่เครื่องจักรและระบบควบคุม (OT) ถูกออกแบบมาให้ใช้งานยาวนานถึง 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น ทำให้อุปกรณ์จำนวนมากใช้ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการที่เก่ามากจนไม่สามารถอัปเดตหรือติดตั้งโปรแกรมสมัยใหม่ได้
- การทำงานต่อเนื่อง – สายการผลิตถูกออกแบบมาให้ทำงานต่อเนื่องตลอดเวลา การหยุดเครื่องจักรเพื่อติดตั้งหรือสแกนไวรัสเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก เพราะจะกระทบกับการผลิตทั้งหมด
- ระบบปฏิบัติการ – อุปกรณ์ OT จำนวนมากไม่ได้ใช้ระบบปฏิบัติการมาตรฐานอย่าง Windows แต่เป็นระบบปฏิบัติการเฉพาะทางที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมเครื่องจักรโดยเฉพาะ ซึ่งระบบเหล่านี้ไม่รองรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ทั่วไปอย่างโปรแกรม Antivirus
ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ การรักษาความปลอดภัยในโรงงานจึงต้องใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เช่น การแบ่งโซนเครือข่าย (Network Segmentation) ซึ่งเปรียบเสมือนการกักตัวในช่วงโรคระบาด
แทนที่จะให้ทุกคนอยู่ในห้องโถงใหญ่ห้องเดียว หากมีใครคนหนึ่งติดเชื้อ ทุกคนก็จะเสี่ยงไปด้วย แต่ถ้าเราแบ่งคนออกเป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง หากมีคนติดเชื้อ ความเสี่ยงก็จะจำกัดอยู่แค่ในห้องนั้นห้องเดียว
โลกของโรงงานอัจฉริยะนั้นซับซ้อนและเต็มไปด้วยความท้าทายที่คาดไม่ถึง มันคือจุดบรรจบกันระหว่างโลกกายภาพของเครื่องจักรและโลกดิจิทัลของซอฟต์แวร์ ซึ่งก่อให้เกิดประเด็นด้านความปลอดภัยและกลยุทธ์ทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ ที่เราอาจไม่เคยตระหนักถึง
เมื่อโลกทางกายภาพรอบตัวเราถูกควบคุมด้วยซอฟต์แวร์มากขึ้น เราจะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองเรื่องความปลอดภัยในชีวิตประจำวันของเราไปอย่างไร ?










